Best Thai History

Amps

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ตามรอยประวัติศาสตร์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ตามรอยประวัติศาสตร์ แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2567

วัดชนะสงคราม วัดกลางนา วัดโบราณ สร้างสมัยอยุธยาตอนกลาง

 วัดชนะสงคราม "วัดกลางนา"

สร้างสมัยอยุธยาตอนกลาง

ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๒ 

ทหารหาญและชาวมอญ สังกัดวังหน้า 
ได้รับพระราชทานที่ดินให้ตั้งบ้านเรือนและชุมชนชาวมอญ
ในบริเวณด้านทิศเหนือของพระราชวังบวรสถานมงคล
ใกล้กับ "วัดกลางนา" 
หลังจาก สมเด็จกระพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท 
(บุญมา พระยาเสือ) ทรงเริ่มบูรณะปฎิสังขรณ์ 
พระอารามเก่า ( วัดกลางนา)  ในเมืองธนบุรี 
เมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๗ 
ตามพระราชดำริ ใน
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช 
แล้วทรงโปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่สถิตย์อยู่ของพระสงฆ์ฝ่ายรามัญ 
พระราชทานนามวัดใหม่ ว่า "วัดตองปุ" 
ให้เหมือนกับ "วัดตองปุ" 
ซึ่งเป็นกลุ่มชาวมอญ 
ที่ตั้งอยู่ใกล้กับพระราชวังจันทรเกษม (วังหน้า) ครั้งกรุงเก่า
บำเหน็จความชอบของชาวมอญ สังกัดวังหน้า
ที่ร่วมรบในสงครามเก้าทัพ ปี พ.ศ.๒๓๒๘,
สงครามท่าดินแดงและสามสบ เมืองกาญจนบุรี พ.ศ.๒๓๒๙ 
และ สงครามที่นครลำปาง ป่าซาง ใน ปี พ.ศ.๒๓๓๐
เมื่อเสร็จศึกดังกล่าวกลับมาแล้ว
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท 
และแม่ทัพนายกองในทัพของพระองค์ 
ได้อุทิศถวาย “เสื้อยันต์” ที่สวมออกศึก 
แก่พระพุทธรูปภายในพระอุโบสถ เป็นพุทธบูชา 
ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์ไว้ว่า 
“เดิมนั้น ทั้งองค์พระ[พระประธาน-พระพุทธนรสีห์ฯ ] 
และฐานพระประธานมีขนาดเล็ก 
ภายหลังได้ซ่อมแซม (พอกปูนทับลงรักปิดทอง)
ให้สูงขึ้นอีกดังที่ปรากฏทุกวันนี้ 
ด้านหน้ามีพระอัครสาวกซ้ายขวา ๒ องค์ 
เป็น "พระปูนปั้น" เช่นกัน 
เดิมนั่งประนมมือ 
มาเปลี่ยนภายหลังให้ยืนประนมมือ 
และรอบๆ พระประธานมีพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย ๑๕ องค์ 
เสร็จแล้วทรงสถาปนาวัดตองปุขึ้นเป็นพระอารามหลวง 
พระราชทานนามใหม่ ว่า "วัดชนะสงคราม"
ประวัติวัดชนะสงคราม 
กล่าวไว้แต่เพียง เริ่มบูรณะปฏิสังขรณ์
ตั้งแต่ ปี พ.ศ.๒๓๒๗ 
ดังนั้น สิ่งก่อสร้างที่ปรากฎให้เห็น 
จึงเป็นอาคารในสมัยรัตนโกสินทร์ทั้งหมด
ส่วนสิ่งที่ยังเหลือเค้าของความเป็นสมัยอยุธยา จึงมีเพียง 
๑.ฐานชุกชี สี่เหลี่ยม 
๒.พระประธาน และพระพุทธรูปบางองค์ บนฐานชุกชีในพระอุโบสถ 
ที่ได้รับการพอกทับ(เสื้อยันต์) ใหม่ ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
และ ๓. ใบพัทธสีมาเอก หน้าพระอุโบสถ
จากรูปแบบของใบพัทธสีมา (ซึ่งเหลือเพียงใบเดียว ?)
เมื่อนำไปปรึกษาเปรียบเทียบกับรูปแบบของใบสีมา
ที่พบในวัดที่สามารถกำหนดอายุได้ เช่น "วัดวรเชษฐาราม"
ในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา แล้ว
กำหนดอายุได้ว่า 
ควรอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๒ เป็นอย่างต่ำ


พระพุทธรูป บนฐานชุกชี พระประธานในพระอุโบสถ
วัดชนะสงคราม ภาพถ่ายเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖ (ภาพจาก หนังสือประวัติวัดชนะสงคราม)



พระพุทธรูป บนฐานชุกชี พระประธานในพระอุโบสถ
วัดชนะสงคราม ภาพถ่ายเมื่อ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๖



พระพุทธรูป บนฐานชุกชี พระประธานในพระอุโบสถ
วัดชนะสงคราม ภาพถ่ายเมื่อ พ.ศ. ๒๕๖๗



ด้านหน้าใบสีมาเอก วัดชนะสงคราม พ.ศ.๒๕๖๗



ด้านข้างใบสีมาเอก วัดชนะสงคราม พ.ศ.๒๕๖๗



ใบสีมาหินชนวน ด้านหลังใบสีมาเอก วัดชนะสงคราม
สมัยอยุธยาตอนกลาง พุทธศตวรรษที่ ๒๒




ใบสีมาหินชนวน ด้านหลังใบสีมาเอก วัดชนะสงคราม
สมัยอยุธยาตอนกลาง พุทธศตวรรษที่ ๒๒



ใบสีมาหินชนวน วัดวรเชษฐาราม พระนครศรีอยุธยา
สมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ ( พ.ศ.๒๑๔๙ -พ.ศ.๒๑๕๓ )




วันอังคารที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2567

ประติมากรรมรูปพระสาวก ประมาณสมัยรัชกาลที่ ๕ ๖ ในวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร

 พระสาวก (พระมหากัสสปะ ? ) ถือ ดอกมณฑารพ

ประติมากรรมรูปพระสาวก ห่มจีวรลายดอกเฉียง

ประทับนั่งขัดสมาธิราบ บนฐานบัวมีชายผ้าทิพย์ห้อยหน้า
พระหัตถ์ขวาถือดอกไม้ (มณฑารพ)
พระหัตถ์ซ้ายวางอยูเหนือพระเพลามีรูสำหรับเสียบ (ตาลปัด) 
 ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ 
อายุ ประมาณสมัยรัชกาลที่ ๕ - ๖ 
ประติมากรรมรูปพระสาวกเช่นนี้ 
ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิต 
ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรก 
ในวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ราชวรมหาวิหาร
"ดอกมณฑารพ"  ถือ เป็นดอกไม้ ชนิดหนึ่ง 
ที่ปรากฏในพระพุทธประวัติ 
พระสุตตันตปิฎก บทปรินิพพานสูตร
 ตอนที่พระมหากัสสปะกำลังเดินทางจะไปเฝ้า
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 
ขณะเดินทางระหว่างเมืองกุสินารา กับเมืองปาวา  
ได้พบ อาชีวก คนหนึ่ง ถือ ดอกมณฑารพ (มณฺฑารวปุปฺผํ  คเหตฺวา) 
ดอกไม้สวรรค์ ที่ มักจะร่วงหล่นลงมาจากสวรรค์
ในโอกาสที่สำคัญ   
จึงได้ถามข่าวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า 
และทราบการปรินิพพานจากอาชีวก นั้น 
เมื่อ ๗ วันหลังพุทธปรินิพพาน

credit photoroom







วันจันทร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2567

ธรรมมาสน์ โบราณ เครื่องสังเค็ด งานพระบรมศพรัชกาลที่ ๕ วัดชนะสงคราม พ.ศ.๒๔๕๓

 ธรรมมาสน์เครื่องสังเค็ด งานพระบรมศพรัชกาลที่ ๕  พ.ศ.๒๔๕๓

“เครื่องสังเค็ด” หมายความว่า “ของที่ระลึก” 

สำหรับงานอวมงคล 

เครื่องสังเค็ดเป็นสิ่งของที่จัดทำเป็นพิเศษ
สำหรับบุคคลอย่างหนึ่ง 
อีกอย่างหนึ่ง สำหรับอารามต่าง ๆ 
ได้แก่ วัดในศาสนาพุทธ ทั้งนิกายเถรวาทและนิกายมหายาน, 
โบสถ์ในศาสนาคริสต์, มัสยิดในศาสนาอิสลาม ฯลฯ เป็นต้น 
เครื่องสังเค็ด พระราชทาน 
ไม่เคยปรากฏ ชัดเจนมาก่อน 
จนภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จสวรรคตในวันที่ ๒๓ ตุลาคม ปี พ.ศ. ๒๔๕๓
 และมีกำหนดวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
ในวันที่ ๔เมษายน ปี พ.ศ. ๒๔๕๔ 
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว 
มีพระราชดำริทรงปรึกษา กับ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ, 
และ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น 
จัดทำของที่ระลึกและเครื่องสังเค็ด 
สำหรับพระราชทานในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ 
หลายแบบอย่าง 
สำหรับ "ธรรมมาสน์สังเค็ด" ที่พระราชทานถวายวัดชนะสงคราม 
ในพระอุโบสถหลังนี้ 
สร้างขึ้นตามแบบอย่าง “สัปคับพระคชาธาร”
เป็นธรรมาสน์ที่ไม่เคยมีแบบอย่างมาก่อน
และสร้างขึ้นใหม่ในโอกาสวันถวายพระเพลิง 
สมเด็จพระปิยะมหาราช พระองค์นั้น
โดยสร้างเป็น ธรรมมาสน์ลายสลักปิดทองร่องชาติ
สำหรับพระราชทานให้แก่พระอารามหลวงชั้นเอก
มีพระนามาภิไธยย่อ จ.ป.ร.ในดวงดารา
ใต้พระเกี้ยว หรือ จุลมงกุฎ
และคำจารึกว่า “ทรงพระราชอุทิศในงานพระบรมศพ พ.ศ.๒๔๕๓
ธรรมาสน์สังเค็ดหลังนี้ จึงนับเป็นโบราณวัตถุที่มีคุณค่าชิ้นหนึ่ง
ที่ได้รับการบำรุงรักษาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
และควรชมเป็นอย่างยิ่งของวัดชนะสงคราม.






วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2567

พระพุทธรูป ในมณฑปพระจุฬามณี เจดีย์ทอง วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์

 พระพุทธรูป ในมณฑปพระจุฬามณี (เจดีย์ทอง)

วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์

อัญเชิญมาชุดเดียวกับ วัดพระเชตุพนฯ
เอกสารเลขที่ ๙/ก กองเอกสารโบราณ หอสมุดแห่งชาติ 
เรื่อง“กระแสพระบรมราชโองการ"
ความตอนต้น ว่า 
“ศุภมัศดุ พระพุทธศักราชล่วงแล้ว ๒๓๓๗ พระวะษา ตยุล (จุล)ศักรา ๑๑๕๖ ปีขาล ฉ้อศก 
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมธรรมิกมหาราชาธิราชเจ้า 
พระองค์ปรารถนาพระบรมโพธิญาณ 
ทรงพระราชศรัทธาธิคุณเปีนอัคสาสนูปถัมภกพระพุทธศาสนา 
ทรงพระราชกุศลจินตามัยญาณไปว่า 
พระพุทธรูปพระนครใด
ที่ท่านผู้ทานาธิบดีศรัทธาสร้างไว้แต่ก่อน 
บัดนี้หามีผู้จะทำนุบำรุงปฏิสังขรณ์ไม่ 
ประหลักหักพังยับเยินเป็นอันมาก 
เป็นที่หมิ่นประมาทแห่งบุคคลอันตพาล และมิจฉาธิษฐิ 
ทรงพระราชดำริไปก็บังเกิดสังเวชในพระบรมพุทธาวิฐารคุณเป็นอันมาก 
จึ่งมีพระราชบริหารดำรัสสั่งให้ 
พระยารักษมนเทียรกรมวัง หลวงสมเดจพระขรรคกรรมพระแสงใน 
ขึ้นไปเชิญเสด็จพระพุทธรูป ณ เมืองสุโขทัย 
ผู้รั้งกรมการกับข้าหลวงจัดเรือขนานมีร่มตลอดหัวท้าย 
มีฉัตรธงปักรายแคม 
แล้วเชิญเสด็จพระพุทธรูปเจ้าลงเรือล่องลงมายังกรุงเทพมหานครศรีอยุธยา
จึงเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ ณ พระอารา  พระเชตุพน
อัญเชิญล่องเรือแพ ประมาณ ๒ เดือนเศษ ก็มาถึง ณ วัน ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ขาล ฉศก ( ตุลาคม พ.ศ.๒๓๓๗ )
พระพุทธรูปที่อัญเชิญมาในครั้งนั้น มีขนาดต่าง ๆ กัน 
รวมแล้วทั้งสิ้น ๑,๒๔๘ พระองค์  
ให้ช่างหล่อต่อพระเศียร พระหัตถ์ พระบาท 
แปลงพระพักตร์พระองค์ให้งาม (เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ) แล้ว 
ทำการประดิษฐานพระพุทธรูปเหล่านั้น....
นอกจากพระพุทธรูปขนาดใหญ่แล้ว 
ยังมีพระพุทธรูปที่อื่นอีก ๘๗๒ องค์ 
ที่ประดิษฐานตามพระระเบียงทั้งชั้นนอกชั้นในวัดพระเชตุพน  
ที่เหลือนั้น ข้าทูลละอองธุลีพระบาท สัปรุษทายก
รับไปบูรณะไว้ในพระอารามอื่น
ข้อมูลที่มาบางส่วน จาก "การเมืองเรื่องจำนวน :
การรวบรวมทำบัญชี วัดขนาด และจำแนกพระพุทธรูปจากหัวเมืองเหนือในช่วงสร้างกรุงเทพฯ" 
วิราวรรณ นฤปิติ
ดำรงวิชาการ
http://www.damrong-journal.su.ac.th › pdf
PDFการรวบรวม ทำบัญชี วัดขนาด และจาแนก พระพุทธรูป ...
ขอบคุณภาพประกอบจาก คณะเดินเท้าเล่าเรือง บุญมา วังหน้าพระยาเสือ
ส.๒๗ มกราคม ๒๕๖๗







พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และ สัญญลักษณ์ ประจำตัวของพระองค์

สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิหนาท

(บุญมา )

ทรงคิดสัญญลักษณ์ 

เครื่องหมายประจำตัวของพระองค์

เป็นรูปหนุมานแบกรองรับพระนารายณ์
ด้วยเหตุ คือ พระองค์ทรงเป็น
"กูคือทหารพระนารายณ์
เป็นลูกพระพายเรืองศรี
หลานพญาสุครีพพาลี
มีนามชื่อว่าหนุมาน"
และขันอาสาครั้งแรกเมื่อเป็นทูตไปชักจูง "ท้าวมหาชมพู"
ให้มาเป็นแนวร่วมรบกับพระราม
ท้าวมหาชมพู ไม่เชื่อ และไม่ไป
จึง "กำแหงหนุมานทหารกล้า" 
ต้องเปรียบเทียบ และให้คำมั่นสัญญากับพญาสุครีพ ว่า
"อันท้าวชมพูชัยชาญ 
ตัวหลานจะจับไปให้ได้
ถวายพระหริวงศ์ทรงชัย 
ยังในคันธมาทน์ด้วยปรีชา ฯ"
แล้วก็เปรียบเทียบ "พระนคร" ไว้ดังนี้
"อันพระนครทั้งหลาย 
ก็เหมือนกับกายสังขาร
กษัตริย์คือจิตวิญญาณ 
เป็นประธานแก่ร่างอินทรีย์
มือเบื้องซ้ายขวาคือสามนต์ 
บาทาคือพลทั้งสี่
อาการพร้อมสามสิบสองมี 
ดั่งนี้จึงเรียกว่ารูปกาย
ฝ่ายฝูงอาณาประชาราษฎร์ 
คือสาตราวุธทั้งหลาย
ถึงผู้นั้นประเสริฐเลิศชาย 
แม้นจิตจากกายก็บรรลัย
อาวุธไม่มีผู้ถือ 
ควรหรือจะวิ่งเข้ารบได้
อันท้าวชมพูฤทธิไกร 
จะสะกดเอาไปด้วยมนตรา ฯ
จาก "รามเกียรติ์"
พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช


หน้าบันวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์



ตราสัญญลักษณ์ของวังหน้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรหสิงหนาท (บุญมา)



หย่องหน้าต่างในหมู่พระวิมานวังหน้า พระราชวังบวรสถานมงคล



ก่อนเสียกรุงศรีอยุธยา หลบพม่าออกมาทางไหน จึงเป็นไทยในวันนี้

 ก่อนเสียกรุงศรีอยุธยา 

นายสุจินดา(บุญมา) 

สะสมเสบียงอาหารได้พอสมควร กับ 

ฆ้องกระแต (ฆ้องลูกเล็ก ๑ ในฆ้องวงของปี่พาทย์มอญ) 

ที่เป็นสมบัติของตระกูลมาแต่ดั่งเดิม 

แอบหนีออกจากกรุงศรีอยุธยา 

ตั้งพระทัยจะเสด็จไปพาพี่ชาย  (รัชกาลที่ ๑)  

ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งยกกระบัตรเมืองราชบุรี 

ลงเรือโกลนมากับเพื่อน ๓ คน 

หลบพม่าออกมาทางบางไทร สีกุก

พบพม่าตั้งค่ายอยู่ทั้งสองฝั่ง 

ขณะนั้น เป็นเวลาค่ำประมาณ ๑ ทุ่มเศษ 

พม่าที่ค่ายใหญ่บางไทร ตีฆ้องเรียกเรือ 

เวลานั้นที่เรือของท่านตามโคมไฟมาดวงหนึ่ง 

ท่านจึงตีฆ้องกระแตรับกับพม่า ๆ ก็สำคัญว่าเป็นเรือตรวจของพม่า ๆ 

จึงมิได้ออกตาก้าวสกัดจับเรือ 

ปล่อยให้เรือโกลนนั้นล่องตามลำน้ำใหญ่ 

ลงไปจนถึงสามโคกและเมืองนนทบุรี 

ตามระยะทาง 

เมื่อพบค่ายพม่าที่ตำบลใด 

ก็จะตีฆ้องกระแตรับกับพม่าทุกค่าย

ทำอาการเป็นเรือพม่ากองตรวจมีโคมไฟด้วย 

แลเวลาจะพูดก็พูดเบา ๆ ทำเสียงเป็นพม่า 

พอให้ว่า ๆ ว่าเป็นพวกเดียวกัน

พอล่องเรือลงมาถึงบางบัวทองในอ้อมเกร็ด ก็สว่าง 

ต้องหลบแอบซ้อนนอนอยู่ในที่ลับ ๆ  

พอค่ำ ก็ลงเรือโกลนล่องมาจนถึงเมืองธนบุรี








วันพฤหัสบดีที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2567

ตะกรุดเรือรบวังหน้า พ.ศ.๒๓๓๖ กับ ศึก ตะนาวศรี มะริด

 "ตะกรุดเรือรบวังหน้า" 

การรบพม่าใน ปี พ.ศ.๒๓๓๖ 

สมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (บุญมา)
ได้ยกกำลังกองทัพวังหน้า ลงไป ข้ามแดนที่ด่านสิงขร 
เพื่อไปเตรียมต่อเรือรบ 
เรือรบครั้งนั้น "มีตะกุดทั้งหน้าทั้งท้าย" 
ครั้นต่อเรือเสร็จ พายเรือขึ้นไปตามลำแม่น้ำ
จะไปสมทบทัพหลวงที่ "เมืองทวาย"
ในเวลาเดียวกันนั้น 
ทัพพม่าจากอังวะ ยกลงมาจะตีเอาเมืองทวายคืน
ชาวเมืองทวาย ถูกยุยงให้หวาดกลัวว่า 
จะถูกกวาดต้อนไปกรุงเทพอีก
จึงกลับใจเป็นกบถ เข้าด้วยกับพม่า
รวมกันกับทัพพม่าที่ยกลงมาจากอังวะ รบไล่ตามตี 
เจ้าพระยามหาเสนา เจ้าพระยารัตนาพิพิธ พระยายมราช 
ผู้รักษาเมืองทวาย  
จนถอยร่นมาถึงทัพหน้าฝ่ายทัพหลวง (วังหลวง)
"พระยาอภัยรณฤทธิ์" ทัพหน้าของทัพหลวง 
ไม่ยอมให้พระยาทั้ง ๓ เข้าไปสมทบในค่าย
ให้ตั้งรับอยู่นอกค่าย
พม่าตามกองทัพมาถึงเข้ารบรุกบุกบันทัพไทยรับมิหยุด 
เพราะมิได้มีค่ายมั่นรักษาตัว 
ก็แตกพ่ายกระจายกันไป 
เสียเจ้าพระยามหาเสนาในที่รบศพก็มิได้ 
ค่าย "พระยาอภัยรณฤทธิ์"
พม่าก็เข้าตีเอาได้ เสียไพร่พลครั้งนั้นมาก
รัชกาลที่ ๑ ทรงพระพิโรธพระยาอภัยรณฤทธิ์ มาก ดำรัสว่า 
"เสนาบดีผู้ใหญ่ทั้ง ๓ นายมาถึงแล้ว 
ควรจะให้เข้าพักอยู่ในค่าย 
นี่มันถือกฎหมายอะไรของมัน
ไม่ให้เสนาบดีผู้ใหญ่เข้าอยู่ในค่าย 
จนเสียแม่ทัพนายกองและไพร่พลเป็นอันมาก 
พระยาอภัยรณฤทธิ์ รับสารภาพผิด 
จึงให้ลงพระราชอาชญา "ประหารชีวิต"
ฝ่ายทัพเรือวังหน้า ยกไปถึง "เมืองมะริด"แล้ว 
ได้ทราบเหตุการณ์ที่เมืองทวายแล้ว 
จึงรายงานไปกราบทูล
สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรฯ ที่ เมืองชุมพร
ทรงเสียพระทัยนัก รับสั่งว่า
"การจะสำเร็จอยู่แล้วกลับไม่สำเร็จไปได้"
จึงสั่งให้ขึ้นไปบอกนายทัพนายกองให้ล่าทัพจาก เมืองมะริด 
พอกองทัพพม่ายกลงมาถึงเมืองมะริด 
กองทัพไทยจัดการจะล่าทัพเรือ 
พม่าก็เข้าตีกองทัพได้รบกัน 
กองเรือวังหน้าล่าถอย "เอาท้ายเรือลงมา ยิงปืนหน้าเรือ"
รับพม่าแข็งแรง
พม่าก็ยิงต่างคนต่างยิงกัน ถึงฝั่งจึงทิ้งเรือเสียขึ้นบก 
นายทัพนายกองไม่มีผู้ใดเป็นอันตราย 
เสียแต่เรือรบและปืนบาเหรี่ยมสำหรับเรือ


เส้นทางเดินทัพวังหน้า จากกรุงเทพ-ด่านสิงขร-ตะนาวศรี - มะริด
พ.ศ.๒๓๓๖



ตะกรุดโทนวังหน้า บรรจุกริ่ง (เหล็กไหล) ยาว 4.7 นิ้ว กรุงเทพฯ



ตะกรุดโทนวัดพระแก้ว (วังหลวง)




วันพุธที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2567

พระยาเสือ ถีบฝรั่ง พ.ศ.๒๓๓๑

 เมื่อ "วังหน้า พระยาเสือ" ถีบฝรั่ง

จุลศักราช ๑๑๕๐ ปีวอก สัมฤทธิศก ( พ.ศ.๒๓๓๑)

นายกำปั่นเรือฝรั่งเศส ส่งพี่น้อง ๒ คน 
น้องชาย เป็นคนร่างกายสูงใหญ่บึกบึน
มีพละกำลังฝีมือดี 
เที่ยวพนันชกมวยชนะมาเป็นหลายเมือง 
เข้ามาท้าชกกับคนในสยามประเทศ
สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (บุญมา)
กราบทูลว่า พระเจ้าอยู่หัว ว่า
 “ครั้นจะไม่แต่งคนมวยออกต่อสู้ด้วยฝรั่ง ๆ เป็นคนต่างประเทศ
ก็จะดูหมิ่นว่าพระนครนี้ หาคนมวยดีจะต่อสู้มิได้ 
ก็จะเสื่อมเสียพระเกียรติยศ
ปรากฏไปในนานาประเทศ 
ข้าพระพุทธเจ้าจะขอรับแต่งคนมวยที่มีฝีมือออกต่อสู้กับฝรั่ง 
เอาชัยชนะให้จงได้”
จากนั้น สมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ (บุญมา)
ก็ทรงเลือกได้ "ทนายเลือก" องครักษ์วังหน้า คนหนึ่ง ชื่อ
"หมื่นพลาญ"
และวางเดิมพันเป็นเงิน ๕๐ ชั่ง
ครั้นใกล้วันชก ก็ให้ปลูกพลับพลา
ตั้งสนามมวย
กั้นเวที เอาเส้นเชือกขึงเป็นวงสนาม
ใกล้โรงละครฝ่ายตะวันตกวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
แล้วทั้งสองพระองค์และพระราชวงศานุวงศ์ เสด็จทอดพระเนตร 
พร้อมด้วยข้าทูลละอองธุลีพระบาทเฝ้าอยู่พร้อมกันเป็นอันมาก 
"หมื่นผลาญ" กับ ฝรั่งคู่มวย(ผู้น้อง)
ก็เข้ามากราบถวายบังคมในกลางสนาม 
แล้วยืนขึ้นตั้งท่าเข้าชกกัน 
ฝ่ายฝรั่งนั้นล้วงมือจะจับหักกระดูกไหปลาร้า
หมื่นผลาญยกมือขึ้นกัน 
ชกพลางถอยพลาง 
ฝรั่งถูกหมัดหมื่นพลาญ 
ก็มิได้ล้ม
ตั้งแต่ล้วงอย่างเดียว 
หมื่นผลาญก็ถอยพลางชกพลาง 
ฝรั่งจะจับหมื่นผลาญไม่ได้ 
ฝรั่งพี่ชายเห็นดังนั้น
จึงลุกเข้าไปผลักหมื่นผลาญไม่ให้ถอยหนี 
สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล 
ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น
ก็ทรงพระพิโรธดำรัสว่า 
"เล่นชกพนันกันก็ตัวแต่ตัว ไฉนจึงช่วยกันเป็น ๒ คนเล่า" 
จึงเสด็จลงจากพลับพลาโดยเร็ว 
ยกพระบาทถีบเอาฝรั่งพี่ชายล้มลง 
ขณะนั้นพวกทนายเลือกก็วิ่งกรูกันเข้า
ชกต่อยฝรั่งทั้ง ๒ คนพี่น้องเจ็บป่วยเป็นสาหัส 
พวกบ่าวไพร่ฝรั่ง ต้องช่วยกัน แบกหามนายลงไปยังกำปั่น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
จึงดำรัสสั่งพระราชทานหมอนวดหมอยาให้ลงไปรักษาพยาบาล 
ฝรั่งทั้ง ๒ คนหายป่วยแล้ว
ก็บอกล่ามให้กราบเรียนพระยาพระคลังให้ช่วยกราบทูล
ถวายบังคมลา 
แล้วถอยกำปั่นเลื่อนลงไปจากพระนคร



วันอังคารที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2567

ความตั้งใจของผู้นำประเทศในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์

 "ความตั้งใจของผู้นำประเทศในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์"

การรบครั้งที่ ๒ สงครามพม่าที่ท่าดินแดง
ในแผ่นดินสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
ของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (บุญมา)
พ.ศ.๒๓๒๙


เส้นทางศึกรบพม่าที่ท่าดินแดง (โดยสังเขป) อ้างอิงภาพจาก https://www.facebook.com/AsianStudiesTH/photos





วันจันทร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2567

กลยุทธศึก อะแซหวุ่นกี้

 กลยุทธศึก "ยุให้ระแวง แสร้งให้เข้าใจผิด"

ของ อะแซหวุ่นกี้ (มหาสีหสุระ)

ตัดไม้ข่มนาม เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) ผู้น้อง แต่แรกยังไม่รบแล้ว
เมื่อเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) กลับมาถึงเมืองพิษณุโลก 
และเตรียมตัวพร้อมแล้ว
อะแซหวุ่นกี้ (มหาสีหสุระ) 
ก็ได้แต่ตั้งค่ายล้อมไว้เฉย ๆ แล้วขี่ม้ายกกองออกเลียบค่ายยั่วท้ารบ 
โดยไม่เข้าโหมหักตีเอาเมือง 
เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) เจ้าเมืองพิษณุโลก
ทนยั่วไม่ได้ ก็นำทัพออกไปโจมตี ถึง ๒ ครั้ง....ไม่สำเร็จ
จน เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ผู้พี่ 
ถึงกับกล่าวว่า
" ฝีมือพลทหารของเจ้าเป็นแต่ทัพหัวเมือง 
ซึ่งจะต่อรบกับฝีมือทัพเสนาบดี นั้น ไม่ได้”  
วันที่สาม อแซหวุ่นกี้ยกออกเลียบค่ายอีก. 
เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) จึงนำทัพออกไปโจมตีพม่าด้วยตนเอง 
แต่ก็ไม่สำเร็จ แตกถอยกลับเข้าค่าย
อะแซหวุ่นกี้ (มหาสีหสุระ) ยกออกเลียบค่ายดังนั้นทุกวัน. 
เจ้าพระยาจักรี(ทองด้วง) ก็ออกรบทุกวัน,
ผลัดกันแพ้,ผลัดกันชนะถึงเก้าวันสิบวัน. 
อแซหวุ่นกี้จึ่งให้ล่ามร้องบอกเข้าไป ว่า 
"เพลาพรุ่งนี้เราอย่ารบกันเลย. 
ให้ "เจ้าพระยากษัตรศึก"
แม่ทัพออกมาเราจะขอดูตัว.
(หยอด "เจ้าพระยาจักรี" เข้าไปเป็น "เจ้าพระยากษัตริย์ศึก" ขนาดนั้น)
ครั้นรุ่งขึ้น "เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ขี่ม้ากั้นสัปทน 
ยกพลทหารออกไปยืนม้าให้ อแซหวุ่นกี้ ดูตัว. 
อแซหวุ่นกี้ จึ่งให้ล่ามถาม อายุพระยาจักรี (ทองด้วง)
พระยาจักรี ตอบว่า อายุ ๓๑ ปี
พระยาจักรี ให้ล่ามถามอายุ อะแซหวุ่นกี้
อะแซหวุ่นกี้ ก็ตอบว่า อายุ ๗๒ ปี
แล้วอะแซหวุ่นกี้ ได้พิจารณาดูรูปดูลักษณ์ ของ เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) แล้วสรรเสริญ ว่า 
"รูปก็งาม,ฝีมือก็เข้มแข็ง,สู้รบเราผู้เป็นผู้เฒ่าได้...จงอุสาหรักษาตัวไว้"
"ภายหน้าจะได้เป็น กษัตริยฺ์ เป็นแท้ "
ทำนายออกซะขนาดนี้ จะไม่เรียกว่า "วางหมาก กลศึก"  ...
สร้างความรู้สึกแตกแยกไว้ลึก ๆ ได้อย่างไร ?
(ข้อความคำพูดจาก พระราชพงษาวดารกรุงเก่า (ฉบับหมอบรัดเล))




วันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2567

เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช ถูก อะแซหวุ่นกี้ ตัดไม้ข่มนาม

 เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช

ถูก อะแซหวุ่นกี้ "ตัดไม้ข่มนาม"

ตั้งแต่จะเริ่มรบกัน
เพราะ "อะแซหวุ่นกี้" เป็นชื่อที่ทางไทยเรียก 
แต่ชื่อที่แท้จริงของพม่า คือ  "มหาสีหสุระ" ( မဟာသီဟသူရ)
ดังนั้น การเรียก ยศ "เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช"
จาก "ราชสีห์" ลงเป็นแค่ "พยัคฆ์" (เสือ) 
ทำให้ศักดิ์ศรีของ 
"พระยาเสือ" ต่ำกว่า "มหาราชสีห์" 
ดังข้อความ ใน "พระราชพงษาวดารกรุงเก่า (ฉบับหมอบรัดเล)."
กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
"อะแซหวุ่นกี้ยกทัพจากเมืองตากมาทางบ้านด่านลานหอย  
ตรงมาถึงเมืองสุโขทัยและเมืองสวรรคโลก 
จับกรมการมาถามว่า 
"พระยาเสือเจ้าเมืองพระพิศณุโลกอยู่หรือไม่" 
กรมการตอบว่าไม่อยู่ไปเมืองเชียงใหม่ 
อะแซหวุ่นกี้จึงว่า 
"เจ้าของเขาไม่อยู่ อย่าเพ่อไปเหยียบเมืองพระพิศณุโลกก่อนเลย"


เจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช (พระยาเสือ)



อะแซหวุ่นกี้ หรือ มหาสีหสุระ (พม่า: မဟာသီဟသူရ,)



วันเสาร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2567

ยุทธภูมิ ค่ายพม่าบางแก้ว และ เขาชะงุ้ม

 ยุทธภูมิ "ค่ายพม่าบางแก้ว และ เขาชะงุ้ม"

เสร็จศึกเชียงใหม่ ปลายปี พ.ศ.๒๓๑๗
 มิทันหายเหนื่อย...
ก็เกิดศึกที่พม่าเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์
ปักหลัก รออยู่ตำบลปากแพรก แขวงเมืองกาญจนบุรี
ส่งทัพล่วงลึกเข้ามาถึง  "เขาชะงุ้ม" 
"ตั้งค่ายมั่นที่ตำบลบางแก้ว"
เมืองราชบุรี
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กลับจากเชียงใหม่ ได้ ๑ วัน
กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๑๗
เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ยกทัพจากน่านลงมาถึงราชบุรี
เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) ยกทัพจากเมืองเชียงใหม่มาถึงราชบุรี 
เดือนมีนาคม พ.ศ.๒๓๑๗
เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง)
เข้าร่วมรบกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
ล้อมค่ายพม่าที่ "บางแก้ว"  
เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) และ เจ้าพระยานครสวรรค์
เข้าล้อมค่ายพม่าที่ "เขาชะงุ้ม" 
ฝ่ายพม่าเขาชะงุ้ม ยกออกมาตีฝ่าวงล้อมแต่ไม่สำเร็จ 
ถูกปืนฝ่ายไทยน้อยใหญ่ถอยกลับเข้าไป 
สมเด็จพระเจ้าตากสินเสด็จยกทัพจากโคกกระต่าย
ขึ้นไปช่วยเจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา)ที่ "เขาชะงุ้ม" 
สงครามการล้อมค่ายพม่า "บางแก้ว" "เขาชะงุ้ม" 
ตั้งแต่วันเดือนสามขึ้นสิบสามค่ำ ( ๑๓  กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๓๑๗/๒๓๑๘) จนถึงวันเดือนสี่แรมสิบห้าค่ำ (๓๑ มีนาคม พ.ศ.๒๓๑๗/๒๕๑๘) 
เป็นเวลาทั้งสิ้น ๔๗ วัน 
พม่าก็แตกพ่ายกลับไปจนถึงทัพ "ปากแพรก" แขวงเมืองกาญจนบุรี 
และล่าถอยกลับไป หาอะแซหวุ่นกี้ ที่เมืองเมาะตะมะ