จึงเป็นช่องเป็นโอกาสให้เพื่อนบ้านบุก รุกเข้ามา
"มีพลมากมายก่ายกองกระจายอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง
ดุจน้ำไหลอย่างเชี่ยว"
แม้รัฐบาลจะส่งทหารออกไปป้องกันชายแดน ตามจุดยุทธศาสตร์
แต่ก็รบแพ้ เพราะไม่ตั้งใจจะรบ
ฝ่ายในกรุง
ปืนใหญ่ในป้อมรอบพระนคร ก็ร้างราการใช้มานาน
จนหาคนใช้เกือบไม่เป็น
ต้องเกณฑ์ให้ชาวฝรั่งเศสที่อยู่ในกรุงศรีอยุธยา
"ช่วยทำป้อมปืนและฝึกหัดการยิงปืนใหญ่ ให้ด้วย"
ชาวต่างชาติเองก็ไม่เต็มใจที่จะช่วย
ได้แต่ไป "ช่วยทำป้อม
และช่วยฝึกหัดการยิงปืนใหญ่ ให้บ้างเป็นครั้งเป็นคราว"
พวกฮอลันดาก็ต่อเรือ เตรียมไว้แต่เนิ่น ๆ
เพื่อขนคนของตัวเองออกจากอยุธยา
ทางราชการ "ได้สั่งไปตามด่านต่าง ๆ
ให้คอยกักคนไว้ อย่าให้ใครเข้าออกได้เปนอันขาด"
ไว้ตั้งแต่ก่อนพม่าจะมาถึงเมือง
"ไทยได้ลงมือเตรียมการสู้ตลอด
พวกพม่าข้าศึกได้มาเอาไฟเผาสวนที่บางกอก
และทำลายป้อมทั้งเผาสวน
และปล้นบ้านเรือนไม่ละเว้นเลย
ตลอดตั้งแต่ท่าเรือจอดจนถึง ชานพระนคร
โรงเรียนใหม่หลัง ๑ ซึ่งเราได้สร้างขึ้น
กับไม้สำหรับสร้างโรงเรียนอีกหลัง ๑
ก็ถูกพม่าเอาไฟเผาเสียหมดสิ้น
ในระหว่างนั้นได้มีพวกราษฎรซึ่งเป็นชาวบ้านนอก
เข้ามาอาศัยในกรุงวันละมาก ๆ
เพราะเหตุว่าพวกพม่าคอยไล่จับ
และยกทัพรุกเข้ามาทีละน้อย
หวังจะให้ขาดเสบียงในกรุง
เพราะพวกพม่าได้ทำลายทุ่งนาบ้านเรือนโดยรอบกรุง"
"ถ้าไทยจะคิดตัดเสบียงพวกข้าศึกแล้ว
ก็จะทำได้ง่ายที่สุด
แต่ก็ไม่เห็นไทยคิดจัดการอย่างใดเลย"
พวกพม่าได้ยกทัพเมื่อปี ค.ศ.๑๗๖๖ (พ.ศ. ๒๓๐๙)
พม่าได้สร้างป้อมล้อมกรุงไว้ ๓ แห่ง
แต่ถึงดังนั้นเสบียงอาหารในกรุงก็ยังบริบูรณ์
จะมีคนตายด้วยอดอาหาร
ก็เพียงคนขอทานเท่านั้น
วันที่ ๑๔ เดือนกันยายน ( พ.ศ.๒๓๐๙)
ข้าศึกจึงได้ยกมาตั้งติดประชิดกรุง
ห่างจากกำแพงเมืองเพียงระยะทางปืนใหญ่เท่านั้น
และก็ตั้งมั่นคอยจับผู้คนเสบียงพาหนะซึ่งจะผ่านไปมา
พม่ายึดเอาด่านใหญ่ (วัดโปรดสัตว์) ไว้ได้
จึงเป็นการกระทำให้เรือออกไปสู่ปากน้ำไม่ได้จนลำเดียว
ทุกฝ่ายที่ดูสถานะการณ์ออก
อยากคิดพยายาม จะหนีออกจากกรุงศรีอยุธยา ทั้งนั้น
ฝ่ายฝรั่งเศสที่โบสถ์และโรงเรียนสามเณร
เมื่อเหตุการณ์ ดูแล้ว เห็นทีจะไปไม่รอด
จึงแอบเล็ดลอด พาคนเข้ารีตส่วนหนึ่ง
หนีออกไปจากกรุงศรีอยุธยา
โดยตั้งเป้าหมายจะเดินทางไปอยู่ "เมืองจันทบุรี"
เพราะเมืองจันทบุรีนี้เป็นหนทางเหมาะ สำหรับจะหนีต่อไปที่อื่นได้ง่าย