Best Thai History

Amps

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชีวประวัติ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชีวประวัติ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

วัดช่างเหล็กแห่งนี้ ตลิ่งชัน วัดเก่าแก่ สร้างมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ในมุมมองใหม่ ปี พศ.2567

 วัดช่างเหล็กแห่งนี้ ตลิ่งชัน วัดเก่าแก่ สร้างมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ในมุมมองใหม่ ปี พศ.2567

เมื่อวานพรรคพวกมารับ
ไปกินอาหารกลางวัน ครัวยายเปล่ง แล้ว 
ต่อไปเดินเล่นตลาดดอนหวาย หน่อยหนึ่ง 
จึงกลับมา เที่ยววัด "ช่างเหล็ก" ตลิ่งชัน
“วัดช่างเหล็ก” ตั้งอยู่ริมคลองชักพระฝั่งตะวันตก เขตตลิ่งชัน 
ชื่อวัด เหมือนจะเกี่ยวข้องกับ "เหล็ก" 
จึงเป็นที่สนใจของ อ.หนึ่ง 
เพราะคิดว่าจะเกี่ยวข้องกับการตีดาบในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ด้วย 
วัดช่างเหล็ก ตามหลักฐานพระพุทธรูปหินทราย (หลวงพ่อดำ) 
ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่อยู่กับวัดมาแต่ดั่งเดิม 
ประกอบกับตำแหน่งที่ตั้งของวัดที่อยู่บนฝั่งด้านทิศตะวันตก
ของแม่น้ำเจ้าพระยาสายเก่า ( คลองชักพระ )
ทำให้กำหนดอายุได้ว่า วัดช่างเหล็กแห่งนี้ 
สร้างมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี 
ส่วนนามของวัดน่าจะเกี่ยวข้องกับอาชีพดั่งเดิมของประชาชน
ที่อยู่รอบวัด ซึ่งมีอาชีพในการตีเหล็ก 
แต่จะทำอาชีพนี้มาตั้งแต่สมัยใดไม่ปรากฏหลักฐาน
จากประวัติของวัดกล่าวว่า 
พระอุโบสถสร้างขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ 
มีขนาด ๗ ห้อง ด้านหน้ามีประตู ๓ ช่อง ด้านหลัง ๒ ช่อง 
หน้าบันด้านหน้าเป็นรูปเทวดาทรงครุฑ 
ด้านหลังเป็นเทวดาทรงหนุมาน  
รูปแบบของศิลปกรรมบนหน้าบันเช่นนี้ 
เป็นศิลปกรรมโดยเฉพาะของวังหน้า 
(สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท)
เหมือนกับวัดชนะสงคราม 
และลักษณะศิลปกรรมใบเสมาเป็นหินแกรนิตสีเทาดำ 
มีกนกเอวเป็นเศียรนาค ยอดเป็นมงกุฎครอบ ในซุ้มสีมาทรงกูบ  
ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมทำกันในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ 
ดังนั้น จึงเชื่อว่า “วัดช่างเหล็ก” เป็นวัดสมัยอยุธยาวัดหนึ่ง
ที่ได้รับการปฏิสังขรณ์โดยช่างวังหน้า มาตั้งแต่ครั้งสมัยรัชกาลที่ ๑ ด้วย
































วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2567

บันทึกประจำวัน ปี พ.ศ.๒๕๑๗ วัชรินทร์ พุ่มพงษ์แพทย์

 บันทึกประจำวัน ปี พ.ศ.๒๕๑๗

(ต่อจากเล่มประวัติตั้งแต่เริ่มทำงานกรมศิลปากร ๒๕๑๖ (เล่ม ๑)

ปีขาล พุทธศักราช ๒๕๑๗,จุลศักราช ๑๓๓๖,มหาศักราช ๑๘๙๖.คริสตศักราช ๑๙๗๔
รัตนโกสินทร์ศก ๑๙๒
@คำขวัญประจำปี@
@ ความตั้งใจจริง ความสัตย์จริง อุดมคติ
กตัญญูกตเวที ความเชื่อมั่น และความปรารถนาอันดี
ที่มีต่อกิจการงาน ทั้งทางด้านวิชาการ และ อื่น ๆ ในหนทางของโบราณคดี 
เท่านั้น ที่จะเป็นแนวทางอันประเสริฐ ที่จะนำตัวเราไปสู่ความสำเร็จอันสูงส่งของชีวิต นักโบราณคดี เช่นเรา ฯ
วัชรินทร์ พุ่มพงษ์แพทย์
ศุกร์ ๔ ม.ค.๒๕๑๗









วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2567

การถกเถียงกันในทางโบราณคดี คือ การทำให้วิชาการกว้างขวาง ก้าวหน้า ต้องใช้เหตุผลหลายประการ

 บันทึกบางตอน 

จากการไปขุดตรวจพื้นที่หลังหอสมุดแห่งชาติ

จังหวัดนครศรีธรรมราช

นำโดย อาจารย์ พิสิฐ เจริญวงศ์
"การถกเถียงกันในทางโบราณคดี คือ 
การทำให้วิชาการกว้างขวาง ก้าวหน้า 
เหตุการณ์ใด ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต 
เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีผู้ใดในสมัยปัจจุบัน จะเข้าไปถึงได้ 
เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้วหลายยุคหลายสมัย  
ข้อแม้ต่าง ๆ ก็มีมากมายจนเหลือคณานับ  
แล้วแต่ว่า ใครจะอ้างอย่างใดออกมาก็ได้  
เป็นการถูกทั้งสิ้น....ไม่ผิด 
ขึ้นอยู่กับเหตุผลของแต่ละคน ว่า 
สมควรที่จะเชื่อถือได้หรือไม่เท่านั้น 
ไม่ได้มีการบังคับให้เชื่อกันเลยทีเดียว  
สิ่งต่างๆ ที่กล่าวขึ้นมาเป็นเพียงสมมุติฐาน 
ที่อาจถูกหรือผิดได้ 
เหมือนกับหมอดูโชคชะตาราศี 
ที่อาจจะถูกหรือผิดได้เช่นเดียวกัน
การขุดค้นหรือได้พบหลักฐานใหม่ ๆ แต่ละครั้ง 
เป็นการค้นหาข้อมูล ที่จะมาส่งเสริม
เหตุผลในการวิเคราะห์ให้มากยิ่งขึ้น 
เป็นวิชา “สถิติ” หรือเป็น “มัธยฐาน”  
หากไม่เชื่อใน "มัธยฐาน" ที่ตั้งไว้แล้ว 
ก็แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะต้องศึกษากันต่อไปอีก 
เพราะความคิดจะกระเจิดกระเจิงไป 
ไม่มีระเบียบแบบแผน 
ใช้แต่อารมณ์ของตนเองเป็นผู้บงการให้เป็นไป."
บันทึกชีวิต 
วันเสาร์ที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๕
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช
































บางตอนของ กวีนิพนธ์ ใน บันทึกชีวิต เล่ม ๓

 บางตอนของ กวีนิพนธ์ ใน "บันทึกชีวิต เล่ม ๓"

ถอดจากลายมือ พิมพ์เป็นเอกสาร
รวมจะเย็บเล่มแล้ว
@อำนาจ คือกฎ อันมีมหิษ 
ธิแรงฤทธิ์ ร้ายอนันต์
ใครกล้าแข็ง ก็แข่งขัน 
เพื่อแย่งกัน เป็นราชาฯ
@แรงด้อย ก็ถอย กำลังจะหาญ 
ก็ซมซาน สุ่มพฤกษา
เงี่ยหู แลเบิ่งตา 
แวดมรรคา ที่เป็นภัยฯ
@บางทีก็หนี ก็ลี้ก็หลบ 
ไปแห่งหน ตำบลไกล
สู่แคว้น ดินแดน ที่ศิวิลัย 
เพื่อหวังสุข ไร้ทุกข์พานฯ
@อะไรแม่น เป็นแก่นแท้ 
หรือนอนแน่ ในสังสาร
มีอดีต ยุบันกาล 
และอนาคตไกลฯ
@มีเกิด ย่อมมีดับ 
มีเนืองนับ มีถอยไป
แต่แปลกแท้ คนจัญไร 
ไม่ลดถอย หรือน้อยลงฯ
กัลปพฤกษ์
พุธ ๒๒ เมษายน ร.ศ.๑๘๙ ( พ.ศ.๒๕๑๓)



วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

แอบปิติ กับวันเกิด ในปี พ.ศ.๒๕๓๙

 แอบปิติ กับวันเกิด ในปี พ.ศ.๒๕๓๙

วันอาทิตย์ที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๙ 
ได้รับคำสั่งให้ย้าย
จาก อุทยานประวัติศาสตร์ปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี 
กลับมาเป็น "ภัณฑารักษ์ ๗"
ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม พระนครศรีอยุธยา 
วันนี้เป็นวันเกิด เช้าออกไปใส่บาตร 
อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และตัวเอง 
ได้รับหมายให้ไปเฝ้าที่พระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร 
พระราชวังบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา 
คืนนี้ มีครูเปียโน ศิลปินแห่งชาติฝรั่งเศส ตามเสด็จมาด้วย 
หลังเสวยมีรายการเต้นรำ 
สนุกสนานเหมือน
ได้รับพระราชทานเลี้ยงฉลองวันเกิดไปด้วยโดยปริยาย.




ถวายการรับใช้ที่ พระนครศรีอยุธยา ขณะที่ รับราชการที่ชายแดน กาญจนบุรี

 ถึงจะต้องถูกย้ายไปรับราชการที่ชายแดน (กาญจนบุรี)

ก็ยังต้องกลับมาถวายการรับใช้ที่ พระนครศรีอยุธยา

วันอาทิตย์ที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๘ 
ได้รับแจ้งข่าวหมายเสด็จพระตำหนักสิริยาลัย 
และให้ไปเข้าเฝ้าตามปกติ 
จึงต้องเดินทางจากปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี 
มาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  
คุณไข่มุกด์ ชูโต ให้ไปพบที่บ้านพักก่อนเดินทางไปอยุธยา 
ได้รับ เหรียญรัชกาลที่ ๕  ๑ เหรียญ 
ตอนเย็นเดินทางไป จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 
รอจน ๒๐ น. จึงเข้าไปรอรับเสด็จฯ 
นายบรรจง กันตวิรุฒ ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 
และข้าราชการอื่น ๆ ที่ไปรอรับเสด็จฯ  ทั้งหมด
ได้รับอนุญาตให้กลับก่อนได้ 
เพราะเป็นงานฉลองปีใหม่ภายในส่วนพระองค์  
สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ 
มีพระราชเสาวนีย์
ให้นายปฏิพัฒน์ พุ่มพงษ์แพทย์ 
เป็นตัวแทนพระองค์ นั่งรถตำรวจ 
นำพวงมาลาไปสักการะที่พระเจดีย์ศรีสุริโยทัย 
และเจดีย์เจ้าฟ้ากุ้ง ที่วัดไชยวัฒนาราม 
เป็นการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 
ที่มีความสุข และปลื้มปิติ เป็นอย่างยิ่งครั้งหนึ่งในชีวิต 
ประทับอยู่ที่พระตำหนักสิริยาลัย จน ๐๕ น.เศษ 
จึงเสด็จฯกลับพระตำหนักสวนจิตรลดา



วันพุธที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2567

สมบัติวังหน้าอยุธยา หนังสือพิมพ์ สยามนิวส์ มิถุนายน ๒๕๓๙

 เช้าวันนี้...ฟื้นความรู้วังหน้าของรัตนโกสินทร์

แต่ไปเจอ "สมบัติวังหน้าอยุธยา"

ในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น  "สยามนิวส์"
ฉบับ มิถุนายน ๒๕๓๙
ของ "น้องแดง" นักข่าวที่รัก
คิดถึงน้าา ไม่รู้ไปเกิดรึยัง ?



สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินปิดทองพระมงคลบพิตร พ.ศ.๒๕๓๖

 วันจันทร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๖

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ 
เสด็จพระราชดำเนินปิดทองพระมงคลบพิตร 
และทรงเปิดงานฉลองพระนครศรีอยุธยาเป็นมรดกโลก
เป็นปฐม แล้วเสด็จกลับพระตำหนักสิริยาลัย.



วันพฤหัสบดีที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2566

เบื้องหน้าและเบื้องหลัง เจดีย์ศรีสุริโยทัยตอนที่ ๕

 เบื้องหน้าและเบื้องหลัง เจดีย์ศรีสุริโยทัย

ตอนที่ ๕ "สมโภชพระเจดีย์ศรีสุริโยทัย"

วันเสาร์ที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๔ 

รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ,สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ณ เจดีย์ศรีสุริโยทัย
วันนี้ทั้งวันเป็นการเตรียมการรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ 
จะเสด็จพระราชดำเนินมาในช่วงเวลาเย็น 
เพื่อทรงบรรจุพระสารีริกธาตุลงในเจดีย์แก้วผลึกจำลอง 
ใน พระราชพิธีสมโภชพระเจดีย์ศรีสุริโยทัย 
เมื่อทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาถึง
ทรงประกอบพระราชพิธีอัญเชิญเจดีย์พระบรมธาตุจำลอง
ขึ้นสู่ที่บรรจุบนคอระฆังขององค์พระเจดีย์ศรีสุริโยทัย
ทรงจุดเทียนชนวนพระราชทานแก่ผู้บัญชาการทหารสูงสุด 
สำหรับจุดดอกไม้เพลิงและพลุ ถวายเป็นพุทธบูชา 
เวลา ๑๘.๔๕ น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินจากพระเจดีย์ศรีสุริโยทัย ไปยังบริเวณทุ่งมะขามหย่อง เพื่อทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย ที่ ทุ่งมะขามหย่อง แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับ
ในเวลา ๒๐ นาฬิกา ๓๙ นาที ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ 
ให้พราหมณ์เบิกแว่น ผู้บัญชาการทหารสูงสุด 
คณะกรรมการทุกฝ่าย ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 
และข้าราชการรับแว่นเวียนเทียน
สมโภชองค์พระเจดีย์ศรีสุริโยทัย 
เป็นอันเสร็จพระราชพิธีสมโภชพระเจดีย์ศรีสุริโยทัย แต่เพียงนั้น









เบื้องหน้าและเบื้องหลัง เจดีย์ศรีสุริโยทัยตอนที่ ๓

 เบื้องหน้าและเบื้องหลัง เจดีย์ศรีสุริโยทัย

ตอนที่ ๓ : “ขอบใจ ขอบใจ ที่เอาเราลงมาอยู่ข้างล่าง อยู่ข้างบนอึดอัดมาก”

เมื่อก่อนจะมีการบูรณะพระเจดีย์ศรีสุริโยทัย
ภายในคูหาของพระเจดีย์ มี
รูปหล่อสมเด็จพระสุริโยทัย ที่ประดิษฐานอยู่องค์หนึ่ง 
กับรูปเขียนรูปหนึ่ง 
รูปหล่อโลหะนั้น มีขนาดและน้ำหนักมิใช่น้อย 
การที่คนสร้าง จะนำขึ้นไปประดิษฐานไว้ 
ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย 
เพราะบันไดค่อนข้างสูงและชัน  
ข้าพเจ้าได้สอบถาม ว่า ใครเป็นเจ้าของ หรือนำขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด ?
ก็ไม่มีใครทราบว่าเป็นของใครผู้ใด 
และนำขึ้นไปประดิษฐานไว้บนนั้นตั้งแต่เมื่อไร 
ครั้นจะอัญเชิญลง ก็ไม่มีผู้ใดกล้าจะไปอัญเชิญลงมา 
และเมื่อนำลงมา ก็ไม่ทราบว่า จะนำพระรูปองค์นี้ไปไว้ที่ใด
วันศุกร์ที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๔
ขบวนแห่ พระพุทธสุริโยทัยสิริกิตื์ฑีฆายุมงคล 
ได้อัญเชิญ มาถึงพระเจดีย์ศรีสุริโยทัย
ช้าพเจ้าในฐานะ
หัวหน้าอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา 
และเป็นคณะทำงานพระเจดีย์ศรีสุริโยทัยด้วย ในขณะนั้น
จึงอาสาที่จะเป็นผู้อัญเชิญพระรูปพระสุริโยทัย องค์ดังกล่าว 
รวมทั้งสิ่งต่าง ๆ อันเป็นบริวาร เช่น ภาพเขียน รูปถ่าย ฯลฯ และบริวาร 
ลงมาจากเจดีย์เอง 
โดยให้เจ้าหน้าที่ช่วยยกพระรูปมาขึ้นบนเกริ่น 
และนำลงมาได้อย่างสะดวก
เมื่อ "พระรูปพระสุริโยทัย" นำลงมาถึงพื้นล่าง แล้ว
จึงมีที่รองรับ คือ นำไปประดิษฐานไว้บนพลับพลารับเสด็จ 
ที่ถูกยกเลิกไม่ได้ใช้งานเป็นพลับพลารับเสด็จ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ แล้ว 
ระหว่างที่อัญเชิญพระรูปสมเด็จพระสุริโยทัย 
ไปที่พลับพลารับเสด็จ 
มีสตรีนางหนึ่ง ซึ่งเป็นข้าราชการ
อยู่ที่ศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 
แต่งกายนุ่งซิ้นด้วยเสื้อผ้าสีขาวครีม 
ยกมือพนมและเดินตามพระรูปไปด้วย
พร้อมทั้งพูดไปด้วยตลอดเวลา ว่า 
“ขอบใจ ขอบใจ ที่เอาเราลงมาอยู่ข้างล่าง อยู่ข้างบนอึดอัดมาก”
จึงนับเป็นเหตุการณ์ที่ประจวบกับอย่างเหมาะสมที่สุด
เชื่อหรือไม่เชื่อ แต่อย่าลบหลู่




ขบวนแห่ "พระพุทธสุริโยทัยสิริกิติ์ฑีฆายุมงคล" มาประดิษฐานในช่องคูหาพระเจดีย์ศรีสุริโยทัย
เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๔



ภุชงค์ จันทวิช ขบวนแห่ "พระพุทธสุริโยทัยสิริกิติ์ฑีฆายุมงคล" มาประดิษฐานในช่องคูหาพระเจดีย์ศรีสุริโยทัย
เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๔



ขบวนแห่ "พระพุทธสุริโยทัยสิริกิติ์ฑีฆายุมงคล" มาประดิษฐานในช่องคูหาพระเจดีย์ศรีสุริโยทัย
เมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๔



พลเอกชัยนันท์ เจริญศิริ และ นายอาวุธ เงินชูกลิ่น ผู้อำนวยการการอัญเชิญ พระพุทธสุริโยทัยสิริกิติ์ฑรฆายุมงคล ขึ้นประดิษฐานบนเจดีย์ศรีสุริโยทัย



พระรูปหล่อโลหะ "สมเด็จพระสุริโยทัย"



พลับพลารับเสด็จ ใช้เป็นที่ประดิษฐานสมเด็จพระสุริโยทัย มาตั้งแต่ เริ่มต้น (๓๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๔)



พลับพลารับเสด็จ ใช้เป็นที่ประดิษฐานสมเด็จพระสุริโยทัย ในปัจจุบัน



เบื้องหน้าและเบื้องหลัง เจดีย์ศรีสุริโยทัย ตอนที่ ๒

 เบื้องหน้าและเบื้องหลัง เจดีย์ศรีสุริโยทัย

ตอนที่ ๒ : ความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ?

ภายหลังจากการบูรณะและปิดทอง พระเจดีย์ศรีสุริโยทัย เสร็จ
(ตามจำนวนทองเท่าที่หาได้ในช่วงเวลานั้น)
 จึงมาถึงขั้นตอนที่จะอัญเชิญพระพุทธสุริโยทัยสิริกิติ์ฑีฆายุมงคล  
ขึ้นประดิษฐานในช่องคูหาเจดีย์ศรีสุริโยทัย 
ซึ่งกำหนดไว้ ก่อนหน้านี้ ประมาณเกือบ ๒ เดือน 
ในช่วงเวลานั้น 
มีข่าวว่า จะเสด็จพระราชดำเนินมาทางชลมารค
เพื่อทรงอัญเชิญพระพุทธสุริโยทัยสิริกิติฑีฆายุมงคล 
ขึ้นประดิษฐานในช่องคูหาบนเจดีย์ศรีสุริโยทัย  
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ดังที่ทรงพระราชดำริ
คณะทำงานจึงรีบสร้างศาลาท่าน้ำที่จะรอรับเสด็จ 
ประตูและทางเสด็จ รวมทั้งพลับพลารับเสด็จ 
ไว้ในสถานที่แห่งหนึ่งทางด้านหลัง (ทิศใต้) พระเจดีย์ศรีสุริโยทัย 
เมื่อใกล้จะถึงกำหนดเวลาวันจะเสด็จพระราชดำเนิน
มาสมโภชและอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานบนเจดีย์ศรีสุริโยทัย
เมื่อสำนักพระราชวังมาตรวจสอบ สถานที่ ๆ จะประกอบพระราชพิธี 
ได้ให้ความเห็นว่า สถานที่ดังกล่าว 
ไม่เหมาะสมเพราะอยู่ทางด้านหลังของเจดีย์ 
ศาลาท่าน้ำ และ พลับพลารับเสด็จ ดังกล่าว 
จึงถูกยกเลิกไปโดยปริยาย 
รวมทั้ง ปรับแผนการเสด็จพระราชดำเนินเป็น 
เสด็จพระราชดำเนินทางรถยนต์ แทนการเสด็จทางชลมารค  
ดังนั้น ทั้งศาลาท่าเสด็จ และพลับพลารับเสด็จ 
จึงไม่ได้ใช้งานทั้งสองกรณี 
สำนักพระราชวัง ได้กำหนดสถานที่
ให้ตั้งเต้นท์เป็นพลับพลาที่ประทับชั่วคราว 
สำหรับประกอบพระราชพิธีอัญเชิญ 
พระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานในช่องคูหา 
ไว้ตรงกับบันไดทางขึ้นด้านหน้า (ทิศเหนือ) 
และ ทำเกรินสำหรับจะเชิญพระพุทธรูปขึ้นไปประดิษฐานไว้ทางด้านหน้าตรงช่องประตูด้วย.




ศาลาท่าน้ำรับเสด็จทางชลมารค ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใช้เวลาในการสร้าง ๔๕ วัน





พลับพลารับเสด็จ ที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับการเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค หน้าบันปั้นสดโดยช่างปั้นเมืองเพชรบุรี