Best Thai History

Amps

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2564

เจดีย์ทอง ตอนที่ ๓

เรื่อง “พระเจดีย์ทอง” ตอนที่ ๓

เรื่องยาว...เก็บมาย่อเล่าสู่กันฟัง
พระวินิจฉัย ในสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ในส่วนที่เป็นของสมเด็จพระราชวังบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท นั้น 
จึงถูกรักษาอยู่ในพระราชวังบวรฯ 
ตามกระแสพระราชดำริ รัชกาลที่ ๑ 
จนสมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ  
มีพระประสงค์จะทรงบรรจุพระอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก
ไว้ที่ “วัดสลัก” ซึ่งทรงสร้างใหม่ใหญ่โต 
ถ่ายแบบพระสถูปที่บรรจุพระอัฐิพระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงศรีอยุธยา
มาสร้างไว้ที่วัดสลัก 
และทำพระมณฑปสวมพระสถูป นั้น 
แทน การสร้างพระปรางค์หรือพระสถูปขนาดใหญ่เป็นประธาน 
โดยมีหลักฐานประกอบหลายอย่างดังนี้คือ
๑.โปรดให้เอายอดปราสาทที่เดิมจะสร้างในพระราชวังบวรฯ 
มาเป็นหลังคาพระมณฑป 
แต่เมื่อถูกไฟไหม้ จึงเปลี่ยนเป็นทรงหลังคาโรง 
แต่ให้สร้างพระมณฑปขึ้นภายใน
เหมือนอย่างพระเมรุทองพระบรมศพ
๒.วัดเดิม ชื่อ “ วัดสลัก” 
เมื่อทรงปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ทั้งหมดแล้ว 
ทรงขนานนามว่า  “วัดนิพพานาราม” 
การที่สมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ เอาคำ “นิพพาน” มาขนานเป็นนามวัด 
คงเนื่องจาก ทรงบรรจุพระอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก เป็นเหตุ 
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ 
ทรงปรึกษากับสมเด็จพระบวรราชเจ้าฯ แล้ว 
เห็นว่า นาม “นิพพาน” ไม่เป็นมงคล 
จึงเปลี่ยนนามเป็น “วัดพระศรีสรรเพชญ์” 
เพราะมีเจดีย์ที่บรรจุอัฐิ เช่นเดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ ในกรุงศรีอยุธยา และเปลี่ยนนามอีกครั้งหนึ่งว่า “วัดมหาธาตุ” 
ทั้ง ๆ ที่ไม่มีพระปรางค์หรือพระสถูปขนาดใหญ่
เป็นหลักวัดเหมือนเช่นวัดมหาธาตุ อื่น ๆ 
ทั้งนี้ ก็คงเนื่องมาจาก 
เป็นที่บรรจุพระอัฐิธาตุของสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก เป็นสำคัญ
๓.เวลาพระเจ้าแผ่นดินเสด็จไปที่วัด 
เช่น เสด็จพระราชทานพระกฐิน เป็นต้น 
ย่อมมีเครื่องสักการะบูชา คือ 
ดอกไม้ธูปเทียนเป็นของส่วนพระองค์ใส่พาน ให้มหาดเล็กเชิญตามเสด็จไป
ทรงบูชาพุทธเจดีย์สำคัญสำหรับวัด  
แต่ที่วัดมหาธาตุนี้ ทรงบูชา "พระเจดีย์ทอง" ด้วยเครื่องทองน้อย 
อันเป็นเครื่องสำหรับบูชาพระอัฐิ
๔. เนื่องจากพระมหาธาตุ ซึ่งเป็นประธานของวัด 
ย่อมต้องบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ 
ดังนั้น พระอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก 
จึงคงบรรจุพระอัฐิไว้ในเจดีย์ทองนี้ด้วย ในส่วนล่างของพระเจดีย์ทอง
ทรงสรุปท้ายพระวินิจฉัย 
เรื่อง พระเจดีย์ทองในมณฑปวัดมหาธาตุ ไว้ด้วยว่า 
“เรื่องนี้เป็นด้วยไม่มีผู้ใดจดลงในพงศาวดาร 
หรือ จดหมายเหตุไว้ให้ปรากฏแต่เมื่อรัชกาลที่ ๑ 
จึงไม่มีใครใคร่จะรู้ 
ต่อมาคิดค้นเนื่องจาก เรื่องสืบสวนโบราณคดี 
จึงมาแลเห็นเป็นแน่นอน 
แต่ก็เป็นการสันนิษฐาน ผู้อ่านไม่จำจะต้องเชื่อ เว้นแต่เห็นขอบด้วย”
ภาพประกอบ : Google







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น