คนเดินป่า ลุยแก่งยาว สู่ บ้าน หม่องปะ พรานเฒ่าแห่งเวียงสละ
ครั้งที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๒ มิถุนายน - ๑๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๖
ตอน :ลุยแก่งยาว สู่ บ้าน หม่องปะ พรานเฒ่าแห่งเวียงสละ
ออกเดินทางจาก อำเภอศรีสวัสดิ์
แวะบ้านปากนาสวน ดื่มน้ำ แล้วเดินทางต่อ ถึงบ้านองข่า
รับ "นายเล็ก" คนนำทาง
ช่วงการเดินทางต่อไปจากบ้านองข่า
เป็นการเดินทางที่คิดว่า ตื่นเต้นที่สุดในเส้นทางสายนี้
คำบอกเล่าของผู้ที่เดินทางผ่านแก่งยาว
ดูจะเป็นการโฆษณาถึงความลำบาก
และการพจญภัย อันสูงสุดในที่แห่งนั้น
ถ้านายท้ายมีความสามารถไม่เพียงพอ
อะไรจะเกิดขึ้น ไม่อาจจะคาดเดาได้
แต่ก็หมายถึงการเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
ในระหว่างทางที่จะถึงแก่งยาว
ฝนได้โปรยเม็ดลงมาเล็กน้อย
แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค์ใดแก่เรามากนัก
ก่อนจะเข้าเขตแก่งยาว
จะผ่านช่องหินสองก้อนสีดำเป็นมันละเลื่อมอยู่ในลำแควใหญ่ เหมือนเป็นการเตือนให้นักเดินเรือ รู้ว่า
บัดนี้ ท่านได้ย่างเข้าสู่เขตแก่งยาว
อันน่าหวาดผวาแล้ว
ความรู้สึกบอกข้าพเจ้าเช่นนั้น
ทำให้ใจอดที่จะตื่นเต้นเสียมิได้
แต่ก็ยังมีใจที่จะถ่ายรูปปราการแห่งนี้ไว้
พ้นปราการ หรือ ประตูหินกลางแม่น้ำเข้าไป
ด่านที่ ๒ ของแก่งยาว
คือ เส้นทางกล
หลอกให้นักเดินเรือแล่นเข้าไปหาความวินาศได้อย่างสบาย
เพราะเส้นทางกว้างใหญ่ และราบเรียบ
แต่ใต้น้ำนั้นแน่นไปด้วยโขดหินเรี่ยปริ่ม ๆ น้ำ
ยากแก่การสังเกตเห็นได้โดยถนัด
ส่วนอีกทางหนึ่งเล็กและตื้นเขิน
มีเพียงร่องน้ำเล็ก ๆ พอที่เรือลำเดียวจะผ่านได้
แต่ถ้าผิดจากร่องน้ำ ก็หมายถึงเกยตื้น
และเป็นเส้นทางเดียวที่จะผ่านขึ้นไปได้
แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาที่น้ำน้อย
การเดินทางผ่านแก่งยาวขึ้นไป
ยิ่งไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย
เพราะในขณะที่เรานั่งเรือผ่านมาครั้งนี้
แม้จะเป็นช่วงเวลาน้ำขึ้นมากก็ตาม
แต่การเดินทางก็ยังลำบากอยู่นั้นเอง
เมื่อพ้นจากช่องนี้ไปแล้ว ท้องน้ำดูเงียบสงบสบาย
สายน้ำไหลเรื่อย ๆ อย่างไม่อินังขังขอบต่อสิ่งใดทั้งสิ้น
แรงเรือที่วิ่งฝ่าเข้าไปกระแทกให้น้ำแตกกระเซ็นซ่า
เป็นฟองฝอย
แล้วระริกระลอกเข้ากระทบฝั่งอยู่เป็นระยะ ๆ
สองฝั่งเงียบสงัดอยู่ในราวป่าสีเขียวขจี
ที่ทอดเงาดำทมึนลงสู่พื้นน้ำ
นกกินป่าสีฟ้าอ่อนสองตัวแลจ้องจับปลาอยู่เบื้องหน้า
ตกใจบินถลาเข้าสู่ฝั่ง
ดนตรีธรรมชาติของป่า บรรเลงอยู่เนิ่นนานปีแล้ว
แต่เราเพิ่งได้ยิน
เมื่อเรือแล่นพ้นท้องน้ำอันเงียบสงบ
เข้าสู่ด่านที่ ๓ เกาะแก่งหินที่ระเกะระกะอยู่ทั่วท้องน้ำ
เสียงน้ำแตกกระเซ็นซ่ากระทบแก่งหิน
เร่งหัวใจให้สั่นระริกยิ่งขึ้น หวาดผวา
และหวั่นเกรงทุกขณะที่เรือแล่นหลบโขดหิน
เสียงเครื่องเรือคำรามสนั่น เมื่อ
นายท้ายอุบล เร่งเครื่องเพื่อต้องการฝ่าแรงน้ำไต่ขึ้นที่สูง
แรงเรือและแรงน้ำปะทะกันจนหัวเรือหันเหไป
เมื่อคลื่นลูกโต กระทบหัวเรืออยู่โดยไม่ขาดระยะ
ที่หมายเบื้องหน้าของเรา คือ
หน้าผาสีแดงที่สูงตระหง่านอยู่ทางเบื้องหน้า
ชาวบ้านเรียก เขาลูกนี้ว่า
“เขานาร่าแดง” หรือ “เขาหน้าผาแดง”
แต่ระยะทางกว่าที่เราจะผ่านไปถึงได้
ช่างเป็นระยะเวลาที่ยาวนานอะไรอย่างนั้น
หลายครั้งที่ เขานาร่าแดงเปลี่ยนทิศทาง
บ้างครั้งก็อยู่ด้านหน้า
บางคราก็ไปอยู่ด้านหลังบ้าง
ด้านข้างบ้าง
จนทำให้รู้สึกว่า ช่างไกลเหลือแสน
แต่แท้ที่จริง เรือใช้เวลาแล่นผ่านช่วงแก่งยาว
ประมาณ ๑๕ นาทีเท่านั้น
๑๕.๕๐ น. เรือถึงปากน้ำแม่พลู
มีบ้านร้างอยู่ ๓ - ๔ หลัง
สาเหตุที่ร้าง เพราะเขาอพยพไปอยู่ที่อื่นหมดแล้ว
จะด้วยเหตุใด สืบถามไม่ได้ความแน่นอน
แต่ก็คงมีสาเหตุมาจากการสร้างเขื่อนด้วยประการหนึ่ง
เราขนของสัมภาระต่าง ๆ ขึ้นที่นี้
เพราะคืนนี้ บ้านร้างเหล่านี้
หลังใดหลังหนึ่งจะต้องเป็นที่พักพิงของพวกเรา
อย่างแน่นอน
หลังจากได้เลือกกันอย่างพิถีพิถันแล้ว
ก็เลือกเอาบ้านร้างที่โย้เย้ที่สุด
หลังคามุงสังกะสี
และอยู่ใกล้ทางริมน้ำมากที่สุดเป็นที่พัก
พวกเราส่วนใหญ่พักกันอยู่ที่นี้
เพื่อเตรียมอาหารการกินสำหรับเย็นวันนี้
ส่วนอาจารย์พิสิฐ นายเล็ก และข้าพเจ้า
เดินทางต่อไปในลำแม่พลู
เพื่อไปพบกับ “หม่องปะ”
พรานนำทางผู้เฒ่า แห่งหมู่บ้านเวียงสละ
ซึ่งอยู่ลึกเข้าไป ระยะการเดินทางประมาณ ครึ่งชั่วโมง
ตามเส้นทางที่เดินไป
เป็นป่าโปร่งบ้างทึบบ้างสลับกัน
บางครั้งต้องลุยน้ำในห้วยบ้าง
น้ำใสเย็นจนสะท้าน
มองเห็นเพิงผาหินปูนที่ห้อยย้อย
บ้างก็ชะโงกง้ำ บ้างก็เว้าแหว่งเข้าไปเป็นตะเพิงพัก
สลัดได กระบองเพชร ขึ้นอยู่หนาแน่น
เราเดินลุยน้ำครั้งสุดท้ายก็ขึ้นสู่หมู่บ้านเวียงสละ
ที่นั้นมีบ้านที่มีคนอยู่ สัก ๕ - ๖ หลัง
เป็นบ้านของชาวกะเหรี่ยงและพม่า
นายเล็กคนนำทางส่งภาษาบอกถึงการมาของพวกเรา
ตลอดถึงการต้องการพบหม่องปะ พรานเฒ่า
แต่เมื่อสอบถามแล้ว
เราต้องพบกับความผิดหวังอีกครั้ง
เพราะพรานเฒ่าออกเดินทางไปบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี
เสียแล้ว เมื่อวันก่อน
จึงเป็นอันว่า แผนการที่วางไว้เดิมต้องเปลี่ยนไป
เมื่อทราบชัดว่า
ไม่มีใครทราบกำหนดการเดินทางกลับ
ของพรานเฒ่าหม่องปะ
ผู้พบตัวยากผู้นี้
เราสามคนต้องรีบเดินทางกลับมาที่พักริมน้ำ
ก่อนจะมืดเสียก่อน
ซึ่งก็ได้ผล เพราะเรากลับถึงที่พักก่อนมืดมากโขทีเดียว
แต่เนื่องจากบรรยากาศภายในเวียงสละ
และตลอดทางที่เดินมา
ดูมืดครึ้มเหมือนกับจะมืดลงสนิท
ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
คืนนี้ที่พักอันแสนสุข
ของเราเป็นบ้านโย้เย้หลังหนึ่งริมแควใหญ่
ใกล้ห้วยขาแข้ง.










ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น