Best Thai History

Amps

วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ชีวิตสดใส ที่พัก ใกล้ธรรมชาติ ผจญภัยในป่า บ้านองข่า เขื่อนศรีนครินทร์

"บันทึกการเดินทางไปสำรวจแควใหญ่ จังหวัดกาญจนบุรี"

ตอน: "ไกด์ทึ่ม แห่งบ้านองข่า"

เมื่อ อาจารย์พิสิฐ,เชษฐ และนายสุข
เดินทางเข้าแก่งยาว เพื่อไปปากแม่พลู ตามหา"หม่องปะ" แล้ว เหลือเราสามคนอยู่ที่ "บ้านองข่า"

ข้าพเจ้าออกจะเป็นคนที่อยู่เฉยไม่ได้
ยิ่งเมื่อคิดถึงค่าแรง
ที่ อาจารย์พิสิฐ จ่ายเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงให้
เดือนละ ๖๐๐ บาท ต่อการทำงานเพียง ๓ - ๔ วัน แล้ว
ยิ่งนิ่งเฉยไม่ได้
จึงออกเดินสำรวจหาร่องรอยทางโบราณคดี
ในบริเวณบ้านองข่า ไปพลาง ๆ
แต่ก็ไม่พบร่องรอยใด ๆ ทั้งสิ้น

และเมื่อย้อนกลับไปที่บ้าน
ยังเห็นสองคนยังอิดออด
ผลัดให้บ่ายก่อน แล้วค่อยออกไปสำรวจ
ก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไรดี
จะบังคับขู่เข็ญเขาก็ไม่เห็นจะสมควรนัก

เพราะเมื่อคืนเกือบสว่างที่สองคน
เล่นรัมมี่อยู่กับพวกชาวบ้านที่ปากนาสวน
ชะลอยคงจะอ่อนเพลีย
ประกอบด้วยลมเย็น ๆ ที่พัดขึ้นมาจากฝั่งน้ำแควใหญ่
ชวนให้หลับยิ่งนัก

ดังนั้น จึงต้องปล่อยเลยตามเลย
ส่วนจะรั้งไม่ให้ข้าพเจ้าออกไป
ก็เห็นจะลำบากเช่นกัน

เด็กชาย ลูกชาย นายสุข คนขับเรือ
ชื่อ “ด.ช.ทึ่ม”อายุ ๑๒ - ๑๓
อาสาจะนำข้าพเจ้าไปดู

เศษหม้อ เศษกระดูก ที่แกเคยพบเห็น

แต่ขอแวะไปเอาหนังสติก ที่บนบ้านติดมือไปด้วย
เผื่อจะไปยิงแย้ที่ไร่

ครั้นถามว่า ที่ในไร่มีเศษหม้อเศษไหด้วยหรือ ?
กระทาชายนายทึ่ม ก็ตอบว่า

“ไม่มีหรอก แต่จะไปยิงแย้”

ข้าพเจ้ารู้สึก ชักไม่ค่อยจะเข้าท่าเสียแล้ว
แต่แกก็ยังพูดต่อไปอีกว่า.... “ที่ไร่ก็มีเศษหม้อเยอะ”

แต่อยู่ที่บ้าน ก็ไม่รู้จะทำอะไร
จึงเดินตามนายทึ่ม ไป

นายทึ่ม พาข้าพเจ้าไปที่บ้านหลังหนึ่ง
ซึ่งเป็นบ้านพี่น้องกัน
ดูเหมือนจะเป็นบ้านของ “นายเล็ก” นั่นเอง

เมื่อสอบถามข้อมูลที่บ้าน ก็ไม่ได้อะไรมาก
นอกจากว่า

"เคยพบมีดเหล็ก และ เศษหม้อ เศษชาม"มาก
ในบริเวณที่ทำสวนนุ่น

เมื่อถามถึงรายละเอียด ก็เป็นอันสิ้นสงสัย

ไม่ต้องรอให้แกป้อนข้าวลูกทั้ง ๔ คนให้เสร็จ
เพราะแกบอกถึงลวดลายที่อยู่บนชาม ว่า

"เป็นรูปปลา รูปไก่ เคลือบเป็นมัน"

คิดแล้วเหมือนถ้วยชามที่ใช้ในปัจจุบันนี้เอง

ประกอบกับมีดที่เก็บมา
เมื่อเห็นแล้ว มันก็คือ "มีดจักตอก" ธรรมดานี้เอง

นายทึ่ม ยังไม่สิ้นความพยายาม
พาไปดูที่บ้านเก่าของยาย รกมากเหลือเกิน
ต้องเดินแหวกและมุดดงสาบเสือเข้าไป
กว่าจะถึงบริเวณบ้านเก่าของยายนายทึ่ม
ก็คันแทบทั้งตัว

นายทึ่มหยุดยืน เหลียวมองหาไปรอบ ๆ

“แถวนี้แหละ ที่มีกระเบื้อง เศษหม้อแตกมากมาย”

ข้าพเจ้าแทบจะลมใส่ แต่ก็ไม่รู้จะทำกระไรได้
นายทึ่มยังย้ำให้ข้าพเจ้าช่วยหาด้วย

“ผมมั่นใจ ว่าอยู่แถว ๆ นี้แหละ”

ปู้โธ่เอ๋ย...ไม่จำเป็นต้องหาแล้ว
แต่จะไปโทษว่าเป็นความผิดของนายทึ่มก็ไม่ได้

เพราะแกไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
เมื่อถามถึงเศษหม้อเศษไห
แกก็พามาให้เห็นแล้วตามที่บอก

เหลืออีกแห่ง ที่นายทึ่มจะต้องพาข้าพเจ้าไปดู
นายทึ่มย้ำ
“ที่จะพาไปนี้ไม่มีคนอยู่แน่นอน อยู่ทางตีนเขาข้างหน้าโน้น”
พูดพร้อมกับชี้ให้ดู แล้วก็เล่าต่อไปว่า

“ตอนไปดักแย้กับแม่
เห็นกระดูกกับขันเก่าใบหนึ่ง มีรูปพระด้วย”

ผมนึกในใจ...จะลองเชื่อนายทึ่มดูอีกสักครั้ง
ก็เดินตามไปดู สถานที่แห่งใหม่นี้ เป็นที่ตั้งของ "บ้านองข่าเดิม"

ซึ่งปัจจุบันไม่มีใครอยู่แล้ว
หมู่บ้านนี้จึงร้าง เหลือบ้านอยู่เพียงสองหลังที่ผ่านมา

นายทึ่มพาเดินขึ้นไปตามเชิงลาดของเขา เป็นป่าไผ่
ค้อนข้างทึบ เงียบและสงัดเหลือเกิน

สักครู่ นายทึ่มก็ชี้ให้ดูบริเวณที่เคยพบ

"กองกระดูกและขัน ตลอดจนเศษหม้อเศษไห"

แล้วแกก็ว่าของแกต่อไปอีกว่า

“ดูเอาเถอะ อยู่แถว ๆ นี้แหละ มาเมื่อคราวก่อน ก็ยังเห็นอยู่เลย”

ข้าพเจ้าเริ่มออกอาการฉุนนิด ๆ นึกด่าในใจ ว่า

“ตัวเองเป็นคนเห็นแล้วไม่ยอมพาไปดู
คนอื่นไม่เคยเห็นจะไปหาเจอได้อย่างไร
ชักจะอย่างไรเสียแล้ว ไอ้หมอนี่”

แต่ไหน ๆ ก็มาแล้ว ก็เดินหาไปเรื่อย ๆ
เผอิญไปเจอทุกอย่างตามที่เจ้าทึ่มบอก จึงถามว่า

“ใช่นี่รึเปล่า ที่ว่านะ”

นายทึ่มรีบตอบอย่างตื่นเต้นและดีใจ ว่า

“ใช่แล้ว ๆ นี้แหละ เห็นไหม ?
มีกระดูก และนั่นไง ขันที่มีรูปพระ”

จริง ๆ ของนายทึ่ม มี "กระดูก" และมี "ขันมีรูปพระ"
กองกระดูกนั้นถูกเผาไฟแล้ว
ข้าพเจ้าไม่อยากจะคิดว่าเป็นกระดูกมนุษย์

ขันก็มีรูปจริงตามความรู้สึกของเด็ก
ความจริงคือขันอาลูมิเนียม มีรูปเทพนม บุบ ๆ บี้ ๆ
กระป๋องนมเก่า ๆ เศษไหน้ำปลา

ข้าพเจ้าไม่อยากจะทนดูอยู่ที่นั่นนานนัก จึงรีบออกมา
หากนายทึ่มรับอาสาพาไปดูที่อื่นอีก
เห็นทีจะต้องปฏิเสธ
เพราะไม่อยากจะผิดหวังอีก
เป็นครั้งที่เท่าไหร่ จำไม่ได้แล้ว

ข้าพเจ้าคิดเงียบ ๆ อยู่ในใจว่า
เราถ้าจะตกต้องตามตำรา ว่า

“คบเด็กสร้างบ้าน คบคนหัวล้านสร้างเมือง” เสียแล้วละคราวนี้







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น