Best Thai History

Amps

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ชีวประวัติตอน ตามกระแส "สิตางศุ์"

ตามกระแส "สิตางศุ์"

บทความนี้เขียน เมื่อ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๔

วัดแต่เดิมเป็นสถานที่ให้ความรู้ ให้การศึกษาแก่กุลบุตร ที่ชาวบ้านนำไปฝากไว้กับพระ การหัดให้เขียนหนังสือสักตัวหนึ่งก็แสนยาก อาจารย์จะจดใส่กระดานชนวนให้ไปตัวหนึ่ง แล้วก็เอาไปหัดเขียนมาจนกว่าจะคล่อง จึงกลับมาขอตัวอักษรตัวต่อไป ฉะนั้น จึงจะเห็นได้ว่า การหัดเขียนตัวหนังสือตัวหนึ่งนั้นแสนยากเพียงใด

วัดใดที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง เขียนโดยช่างผู้มีฝีมือ ผูกเป็นเรื่องราวต่าง ๆ ในพุทธประวัติและสอดแทรกประเพณี วัฒนธรรมต่าง ๆ ในสมัยนั้น ๆ ลงไปด้วย การวาดภาพเช่นนั้น ก็นับเป็นวิธีการเล่าเรื่องแบบหนึ่งนั้นเอง เป็นการเล่าโดยใช้วิธีดูดซึมเข้าไปเองในความทรงจำทีละน้อย ๆ อย่างไม่รู้สึกตัว

เด็กในสมัยโบราณคงไม่ห่างวัดมากมาย เหมือนอย่างเด็กในสมัยนี้ ซึ่งอาจรวมไปถึงแม้กระทั่งเด็กลูกศิษย์วัด ที่วิ่งเข้าวิ่งออกตามลานวัด ลานพระอุโบสถทุกวัน ก็มิได้สนใจกับภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ยังคงหลงเหลืออยู่บ้างนั้นอย่างจริงจัง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเด็กดูไม่รู้เรื่อง ไม่มีผู้รู้คอยอธิบาย หรือ เด็กได้รับการศึกษามาจากโรงเรียนเป็นการเพียงพอแล้ว ข้อนี้จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กขาดความสนใจและเข้าใจในภาพจิตรกรรมเหล่านั้น

ภาพจิตรกรรมฝาผนัง หรือ ลายแกะสลักบนบานประตูหน้าต่างก็ดี ไม่ได้มุ่งหมายเพียงเพื่อความสวยงามประการเดียวเท่านั้น หากแต่สร้างขึ้นหรือวาดขึ้นเพื่อเป็นวิทยาทาน หรือ การบันทึกเรื่องราวด้วยการใช้อักษรภาพ

อันที่จริงอักษรภาพนั้น เราไปติดอยู่กับว่า เป็นอักษรของพวกก่อนประวัติศาสตร์ ( Premitive ) หรือ สมัยที่ยังไม่รู้จักการสร้างสัญลักษณ์ขึ้นมาเป็นตัวอักษร เป็นแต่เพียงการวาดภาพโดยคร่าว ๆ และวก็ให้ตีความหมายเอาจากภาพนั้น ๆ เช่น ภาพคนถือธนู กับ ควาย ก็แปลว่า คนกำลังจะยิงควาย ดังนี้เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อเรามาเจอกับอักษรภาพหรือจิตรกรรมบนฝาผนัง ซึ่งเขียนโดยช่างสมัยโบราณ หรือในสมัยนี้ก็ตาม เราจึงไม่ได้ให้ความสนใจอย่างเต็มที่ ซึ่งในอันที่จริงแล้ว ภาพจิตรกรรมฝาผนัง คือ เครื่องมือการสอนอย่างหนึ่งของพระที่จะใช้ประกอบในการอบรมสั่งสอนศีลธรรมของท่าน หาได้เป็นเพียงเพื่อประดับไม่

ในขณะเดียวกัน ก็สอดแทรกลักษณะความเป็นอยู่ สังคมของคนในยุคนั้น สมัยนั้นลงไปด้วย เพื่อจะให้คนดูเข้าใจง่ายกว่าที่จะเห็นเป็นรูปที่เกิดจากจินตนาการของจิตกรแต่เพียงอย่างเดียว บางครั้ง การเรียนรู้จากภาพจิตรกรรมฝาผนัง จะรู้เรื่องได้ดีกว่าการจะมานั่งอ่านหรืออ่านให้ฟังกันในห้องเรียน โดยไม่มีภาพประกอบ หรือ มีแต่น้อย

ความเข้าใจของผู้ศึกษาจะเข้าไปไม่ได้ลึกซึ้ง เท่ากับ เมื่ออ่านหนังสือไปถึงตอนนั้น ก็มีภาพประกอบตอนนั้น และเมื่ออ่านถึงอีกตอนก็มีภาพประกอบของอีกตอนประกอบด้วย อย่างนี้ เชื่อว่า จะทำความเข้าใจได้แจ่มแจ้งมากขึ้นกว่าโดยทั่วไป

ฉะนั้น ผู้ฉลาดหรือเข้าใจจุดประสงค์
หรือความมุ่งหมายของผู้สร้างแต่โบราณ
จึงควรจะช่วยกันชักจูงใจให้เยาวชน เด็ก
หรือผู้ใหญ่บางคน

ให้ได้เข้าใจถึงความสำคัญและคุณประโยชน์
อันเป็นความรู้ที่คนโบราณถ่ายทอดหรือทิ้งไว้ให้ศึกษากัน

การศึกษาเรื่องราวและวรรณคดี
จากภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้
จะทำให้ได้มีความรู้ ความคิดแตกฉานขึ้นได้

ความหรือภาพตอนใดที่ไปเห็น เมื่อไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง
ย่อมเป็นเครื่องชักจูงให้เข้าหาหนังสือ
เพื่อการค้นคว้าและหาความเข้าใจ

กับภาพที่ได้ไปเห็นมาและไม่เข้าใจ

ความรักในการอ่านหนังสือ ย่อมจะเกิดขึ้น
เมื่อมีความต้องการที่จะรู้เรื่องราวต่าง ๆ
เพื่อว่าจะได้นำไปคุยกับคนอื่นได้ ว่า

ฉันก็ดูภาพจิตรกรรมฝาผนังออกมาเป็นเรื่องราวที่สนุกสนานได้เช่นเดียวกัน.

เช่นเดียวกับ ข่าว ภาพจิตรกรรมฝนผนัง "สิตางศุ์ ส้มหล่น
ที่กำลังเป็นข่าวอยู่ขณะนี้ พ.ศ.๒๕๖๓



ภาพวิถีชีวิต สังคม และประวัติศาสตร์ ในพระอุโบสถ วัดหนองบัว ท่าวังผา น่าน






ภาพนี้ไม่ได้เสียหายตรงไหนเลย ภาษาคนดูจิตรกรรม เขาเรียกว่า "กากภาพ" ที่สอดแทรกวิถีชีวิตของสังคมในสมัยนั้น ๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น