พระคันธารราษฎร์ วัดธรรมิกราช
จากคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ( หน้า ๑๐๑ ) กล่าวถึงพระที่มีพุทธานุภาพในพระนคร องค์หนึ่ง คือ “พระคันธารราฐ เดิมนั้นอยู่ที่กรุงจีน ลอยน้ำเข้ามาจึงเชิญขึ้นไว้ในวัดธรรมิกราช เกณฑ์ขอฝนให้ตกก็ได้ สมาธิหน้าตักศอกหนึ่ง ได้เมื่อครั้งจุลศักราช ๙๗๙ ปี”
(หน้า๒๑๘) พระมหาพุทธปฏิมากรที่มีพุทธานุภาพเปนหลักกรุง นั้น ๘ องค์ ...พระพุทธคันธารราษฎร์ นั่งสมาธิหน้าตักศอกหนึ่ง หล่อด้วยทอง สัมฤทธิ์ ลอยน้ำมาแต่ปักษ์ใต้ เชิญไว้ ในวิหารวัดธรรมิกราช มีพระพุทธานุภาพมาก ขอฝนให้ตกก็ได้”
ในสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ามหาราช รัชกาล ที่ ๑ ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระคันธารราษฎร์ประทับนั่ง ที่ใช้ในพระราชพิธี ขอฝนในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ขึ้น สําเร็จ ณ ปีเถาะ เบญจศก จุลศักราช ๑๑๔๕ ( พ.ศ.๒๓๒๖ ) เดิมลงรักปิดทอง แต่ภายหลังมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงก้าไหล่ทองขึ้นใหม่และติดเพชรเม็ดใหญ่เป็น อุณาโลม
นอกจากสร้างพระคันธารราษฎร์องค์ใหญ่ และยังได้โปรดฯให้สร้างพระคันธารราษฎร์แบบจีนขึ้นมาอีกองค์หนึ่ง ด้วยเหตุที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้เคยทอดพระเนตรเห็น พระพุทธรูปองค์นี้แต่เดิม เมื่อครั้งอยู่ที่วัดธรรมิกราช จึงได้ช่างถ่ายอย่างหล่อให้เหมือนพระพุทธรูป องค์นั้น เป็นทองคำ หน้าตักกว้าง ๒๙.๓๐ เซนติเมตร สูงรวมฐาน ๔๘.๑๐ เซนติเมตร ปัจจุบัน ประดิษฐานอยู่ในหอพระคันธารราษฎร์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง
การสร้างพระคันธารราษฎร์จีนขึ้นใหม่นี้ แสดงให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงมีพระราชดำริที่ จะรื้อฟื้นและสืบทอดพระราชประเพณีที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาแล้วเพื่อใช้ในพระราช พิธีพืชมงคลและพรุณศาสตร์ พระคันธารราษฎร์จึงเป็นพระพุทธรูปที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างขึ้นเพื่อ ประโยชน์สุขของประชาชน และเป็นการแสดงออกของหน้าที่ความรับผิดชอบที่พระมหากษัตริย์ทรงมีต่อพสกนิกรของพระองค์ คือทรงนำความชุ่มชื้นมาสู่แผ่นดิน ซึ่งเป็นหน้าที่หลักหน้าที่หนึ่งของพระมหากษัตริย์มาแต่ดึกดำบรรพ์
หรือหลังจากเสียกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐ แล้ว พระคันธารราษฎร์จีน นี้ จะมีคนนำหลบหนีภัยข้าศึกไปประดิษฐานอยู่ที่วัดสุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี ก่อนวัดธรรมิราช จะโดนเพลิงไหม้ในครั้งนั้น ด้วย
เครดิตภาพ:จากหนังสือ พระพุทธปฏิมา ในพระบรมมหาราชวัง,กูเกิล
เครดิต เรื่อง : พิริยะ ไกรฤกษ์, สุจิตต์ วงษ์เทศ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น