พระสยมภูวญาณโมลี วัดสุมงคลบพิตร
มาเล่าเรื่อง วัดในคำให้การขุนหลวงหาวัดต่อ ดีกว่า...เป็นสุขกว่าเยอะ
พระสยมภูวญาณโมลี วัดสุมงคลบพิตร
ในคำให้การขุนหลวงหาวัด (หน้า๖๘) ได้กล่าวถึงในแผ่นดินสมเด็จพระธาดาธิเบศร หรือ พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ได้ ปฏิสังขรณ์วัดสุมงคลบพิตร วัดหนึ่ง
(หน้า ๖๙) ในรัชสมัยสมเด็จพระสุริเยนทราธิบดี ( สมเด็จพระเจ้าเสือ) พระองค์ทรงปฏิสังขรณ์พระมงคลบพิตร เดิมที่นั้นเป็นปราสาท ครั้นมาถูกสายฟ้าก็ยับไปทั้งสิ้น จึงแปลงเป็นบรรณมุกข์เด็ดกลาย จึงทำเป็นลวดลายงามนักหนา อันองค์พระพุทธรูปนั้น จึงเอาสัมฤทธิ์เดิม แล้วจึงหล่อสมุดเปนพระประธานหน้าตัก ๑๖ ศอก แล้วจึงถวายพระนามไว้ เรียกว่า พระสยมภูวญาณโมลี
(หน้า ๑๐๑) ได้กล่าวถึงในแผ่นดินพระบรมราชา หรือ พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ว่า ได้ทรงทำนุบำรุงพระที่มีพุทธานุภาพหลายองค์ทั้งในกรุงและนอกกรุง ในจำนวนนั้น คือ พระสยมภูวญาณโมลี สมาธิ หน้าตัก ๑๖ ศอก ( ๘ เมตร) ทำด้วยทองเหลือหล่อ อยู่วัดสุมงคลบพิตร ในเมืองทิศใต้วังองค์หนึ่ง พระเจ้าอู่ทองสร้าง
(หน้า ๒๑๘) พระมหาพุทธปฏิมากรที่มีพระพุทธานุภาพเป็นหลักกรุงนั้น ...องค์หนึ่ง คือ พระสยมภูวญาณโมฬี นั่งสมาธิหน้าตัก ๑๖ ศอก หล่อด้วยทองเหลือง อยู่ในพระมหาวิหารยอดมณฑปในวัดสุมงคลบพิตร
ในพระราชพงศาวดารพระนครศรีอยุธยา กล่าวถึง วัดพระสุมงคลบพิตร เป็นครั้งแรก ในรัชสมัย สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ความว่า “ ศักราช ๙๖๕ ปีเถาะศก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ชักพระมงคลบพิตรอยู่ฝ่ายตะวันออกมาไว้ฝ่ายตะวันตก แล้วให้ก่อมณฑปใส่
(หมายเหตุ : ๙๖๕ ปีเถาะศก นั้นอยู่ในแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช จึงน่าจะเป็นศักราชที่คัดต่อกันมาคลาดเคลื่อน หากใช้ปีนักษัตรและปีรัชกาล เป็นหลัก จึงควรเป็น ปี ๙๗๗ ปีเถาะศก ( พ.ศ.๒๑๕๘) จะตรงกับ ปีที่ ๕ ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม )
ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเสือ เมื่อศักราช ๑๐๖๒ ปีมะโรง โทศก นั้น อสุนีบาตตกลงต้องยอดพระมณฑป ณ พระอารามวัดสุมงคลบพิตร ติดเป็นเพลิงโพลงขึ้นไหม้เครื่องบน โทรมลงมาต้องพระเศียรพระพุทธรูป หักสะบั้นลงมาจนพระศอ และพระเศียรนั้นตกลงอยู่ ณ พื้นพระมณฑป จึงทรงพระกรุณาโปรดให้ช่างพนักงานจับการรื้อพระมณฑปก่อสร้างขึ้นใหม่ แปลงเป็นพระมหาวิหารสูงใหญ่ โดยยาวเส้นเศษ สำเร็จในปีมะเมีย จัตวาศก และทรงพระกรุณาให้มีการฉลองและมีการมหรสพ ๓ วัน แล้วทรงถวายไทยทานแก่พระสงฆ์เป็นอันมากเหมือนอย่างทุกครั้ง
( หมายเหตุ : ปี ๑๐๖๒ ปีมะโรง โทศก นั้นอยู่ในแผ่นดินสมเด็จพระเพทราชา จึงน่าจะเป็นศักราชที่คัดต่อกันมาคลาดเคลื่อน หากใช้ปีนักษัตรและปีรัชกาล เป็นหลัก จึงควรเป็น ปี จ.ศ.๑๐๗๔ ( พ.ศ.๒๒๕๕ ) ปีที่ ๔ ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ )
พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) บันทึกไว้ ว่า “ศักราช ๑๐๘๐ ปีจอ สัมฤทธิศก อสนีบาตลงยอดวัดมงคลบพิตรไหม้เครื่องไม้ลงมาจนผนัง ๗ วันจึงดับ พระสอพระประธานหัก ศักราชและปีนักษัตร นี้ ตรงกับปี พ.ศ.๒๒๖๑ ปีที่ ๑๐ ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ
หลักฐานอีกฉบับหนึ่ง คือ จดหมายเหตุโหร ๆ บันทึกไว้ ว่า “ ปีรกา จ.ศ.๑๑๐๓ ทำวัดมงคลบพิตร มีดาวหางปีนี้” ปีระกา จ.ศ.๑๑๐๓ นี้ ตรงกับ ปี พ.ศ.๒๒๘๔ ปีที่ ๑๐ ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ซึ่งตรงกับเหตุการณ์ ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ที่กล่าวถึงในพระราชพงศาวดาร ว่า “ครั้น ณ วันเดือน ๕ ปีระกาตรีศก..พระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระกรุณาให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ให้ ปฏิสังขรณ์วัดพระศรีสรรเพชญ์ ขึ้นใหม่ พระวิหารนั้นอย่าให้ทำมณฑปเลย ให้ทำเป็นหลังคาเหมือนวิหารทั้งปวง ทำปีเศษแล้ว
จากหลักฐานทางด้านเอกสาร และหลักฐานทางด้านสถาปัตยกรรม สรุปโดยรวมว่า มีการกล่าวถึง พระสุมงคลบพิตร ในพระราชพงศาวดารพระนครศรีอยุธยาเป็นครั้งแรก ในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวทรงธรรม ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ชะลอ พระสุมงคลบพิตร เดิมจากทิศตะวันออก (บริเวณสระน้ำแปดเหลี่ยม ตรงกับป้อมสุมงคลบพิตร ของวัดพระศรีสรรเพชญ์) ไปทางทิศตะวันตก ประดิษฐาน ณ ที่ปัจจุบัน และสร้างมณฑปคลอบไว้
ต่อมาในสมัย สมเด็จพระเจ้าเสือ มณฑปพระสุมงคลบพิตร ถูกฟ้าผ่า เครื่องบนพังลงมาต้องพระศอพระสุมงคลบพิตรหักลง จึงต้อง “แปลงเป็นบรรณมุกข์เด็ดกลาย จึงทำเป็นลวดลายงามนักหนา อันองค์พระพุทธรูปนั้น จึงเอาสัมฤทธิ์เดิม แล้วจึงหล่อสมุดเปนพระประธานหน้าตัก ๑๖ ศอก แล้วจึงถวายพระนามไว้ เรียกว่า พระสยมภูวญาณโมลี”
และการปฏิสังขรณ์ครั้งสุดท้าย ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ใน ปี พ.ศ.๒๒๘๔ โดย กรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศ (กุ้ง) เป็นแม่กองในการแปลงมณฑป เป็นวิหาร เหมือนดังที่เห็นในปัจจุบัน
“พระสุมงคลบพิตร” จึงมีพระนามอีกชื่อหนึ่ง ว่า “พระสยมภูวญาณโมลี”
เครดิตภาพเก่า : สุรเจตน์ เนื่องอัมพร
เครดิตภาพ : กูเกิล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น