เรื่องสืบเนื่องมาจาก งานมหรสพ ในงานพระเมรุ
กับ การแข่งเรือ เดือน ๑๑
เกือบทำให้เกิดจลาจล.
ภายหลัง "ศึกภายใน" คือ การจลาจล ระหว่างผลัดแผ่นดิน
"ศึกภายนอก" คือ สงคราม ๙ ทัพ ที่เข้ามาหลังผลัดแผ่นดินใหม่ ๆ
๑๔ ปี หลังจากบ้านเมืองสงบ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
จึงได้ตั้งการพระเมรุ
ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระชนกาธิบดี (ทองดี)
ที่สวรรคตตั้งแต่ครั้งบ้านเมืองเป็นจลาจล หลังกรุงแตก
จึงโปรดให้สร้างพระเมรุมาศขนาดใหญ่
และเครื่องมหรสพสมโภช
เหมือนอย่างการพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินครั้งกรุงเก่า.
การแห่พระบรมศพครั้งนั้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑
เสด็จทรงพระราชยานโยงพระบรมอัฐิ เอง
สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (บุญมา)
ทรงพระราชยานโปรยข้าวตอกนำมาในขบวน
แลพระราชวงศานุวงศ์ทรงรูปสัตว์สังเค็ต
ประคองผ้าไตรเข้าในกระบวนแห่งด้วยหลายพระองค์
ในการมหรสพ สมโภชพระบรมอัฐิ ครั้งนั้น
มีโขนชักรอกโรงใหญ่
ทั้งโขนวังหลวง และวังหน้า
แล้วประสมโรงเล่นกลางแปลง เล่นตอน
"ศึกทศกรรฐ์ ยกทัพ กับสิบขุนสิบรถ"
โขนวังหลวงเล่นเป็นพระราม
ยกไปแต่ทางพระบรมมหาราชวัง
โขนวังหน้าเล่นเป็นทัพทศกรรฐ์
ยกออกจากพระราชวังบวรฯ
มาเล่นรบกันในท้องสนามหลวงหน้าพลับพลา
มีปืนบาเหรี่ยมรางเกวียนลากออกมายิงกันดังสนั่นไป.
ครั้นถึงเดือนสิบเอ็ด น้ำนองตลิ่ง
จึงจัด ให้มีการแข่งเรือ
ระหว่างวังหลวง ชื่อ “ตองปลิว”
กับ วังหน้า ชื่อ “มังกร”
วังหน้า "เล่นตุกติก"
พวกวังหลวงรู้ ไปกราบทูล รัชกาลที่ ๑
จึงทรงให้ "ยกเลิกการแข่ง"
กรมพระราชวังบวรฯ วังหน้า ก็บาดหมางพระทัย
ไม่มาเข้าเฝ้าเสีย เกือบ ๒ เดือน
เมื่อมาเข้าเฝ้า ก็กราบทูล ว่า
"เงินที่พระราชทานขึ้นไปปีละพันชั่ง ( ๘๐,๐๐๐ บาท) นั้น
ไม่พอแจกเบี้ยหวัดข้าราชการในวังหน้า
จะขอรับพระราชทานเงินเพิ่มเติมอีก
ให้พอแจกจ่ายกัน"
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ ก็ดำรัสว่า
"“เงินนั้นเก็บมาได้แต่ส่วยสาอากร
ก็พอใช้ทำนุบำรุงแผ่นดิน
เหลือจึงจะเอามาแจกเบี้ยหวัด...ก็ไม่ใคร่จะพอ
ต้องเอาเงินกำไร
จากการตกแต่งสำเภาออกไปค้าขาย มาเพิ่มเติมเข้าอีก
จึงพอใช้ไปได้ปีหนึ่ง ๆ
เงินคงคลังที่สะสมไว้ก็ยังไม่มี”
กรมพระราชวังบวรฯ วังหน้า ก็เคืองพระทัย
กลับมากะเกณฑ์ข้าราชการ ให้เอาปืนขึ้นป้อมวังหน้า
แล้วให้ตระเตรียมสาตราวุธ พร้อมไว้
ฝ่ายวังหลวง เมื่อรู้เช่นนั้น
ก็เอาปืนขึ้นป้อม เตรียมไว้เช่นเดียวกัน
ครั้งนั้นเกือบจะเกิดการยุทธสงครามกัน
ร้อนถึงพระพี่นางทั้งสองพระองค์
ต้องเสด็จมาวังหน้า
ทรงกรรแสงตรัสประเล้าประโลมไปถึงความเก่า ๆ
แต่ครั้งตกทุกข์ได้ยากด้วยกันมา แต่ครั้งกรุงแตก
"ระหกระเหิน กระจัดพลัดพรายกัน"
มาจนถึงได้ราชสมบัติ
สมเด็จพระอนุชาธิราช
ก็มีพระทัยลดหย่อนอ่อนลง "สิ้นความพิโรธ"
สมเด็จพระพี่นางเธอทั้งสอง
จึงเชิญเสด็จให้ลงมาเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑
สมัครสมานกันแต่ในวันนั้น
ทั้งสองพระองค์จึงกเป็นปรกติกันต่อมา.
มิเช่นนั้น แล้ว
"สงครามกลางเมือง ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้ง"
แล้วบ้านเมืองจะอยู่เป็นปกติสขได้อย่างไร ?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น