พระสถูปพระเจ้าอุทุมพร ตอนที่ ๑
เหตุผลที่กรมศิลปากรไม่รับรอง
โครงการอนุรักษ์อนุสรณ์สถานพระมหาเถระเจ้าอุทุมพร เกิดขึ้นได้เพราะการตัดสินใจอันรวดเร็วของอาจารย์วิจิตร ชินาลัย สถาปนิกเจ้าของรางวัลเชิดชูเกียรติผู้อนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรมดีเด่นของสมาคมสถาปนิกสยามฯ ทันทีอ่านพบข่าวในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ฉบับ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ว่า องค์การบริหารภาคมัณฑเลย์จะล้างป่าช้าในสุสานลินซินกอง เพื่อก่อสร้างอาคารพาณิชย์รองรับนักท่องเที่ยวที่จะมาเยือนเมืองอมรปุระ ซึ่งจะทำให้สถูปพระอัฐิของอดีตกษัตริย์ไทยที่อยู่ในบริเวณนั้นจะถูกไถทิ้งไปด้วย จึงได้ชวนอาจารย์มิกกี้ ฮาร์ท สถาปนิกพม่านักประวัติศาสตร์ผู้พำนักอยู่ในเมืองไทย เคยไปตระเวนดูโบราณสถานในพม่าด้วยกันบ่อยๆ ที่ลินซินกองนั้นก็เคยไปกันหลายครั้งตั้งแต่ปี ๒๕๒๓ แล้ว คราวนี้ขอให้ช่วยติดต่อเข้าพบมุขมนตรีองค์การบริหารภาคมัณฑเลย์ เพื่อหาหนทางที่จะขออนุรักษ์พระสถูปสำคัญนี้ไว้ ซึ่งท่านกำหนดให้เข้าพบได้ในวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๕
ผลของการเจรจา ท่านมุขมนตรีกล่าวว่ากรมโบราณคดีพม่าเองยังไม่ทราบว่าสถูปนั้น มีความสำคัญจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ท่านตกลงจะกันพื้นที่บริเวณที่ตั้งของพระสถูปประมาณ ๑ เอเคอร์ ( ๒.๕ ไร่) เพื่ออนุญาตให้เปิดพื้นที่หาหลักฐานทางโบราณคดีได้ ซึ่งถ้าหากเจอแล้ว จะขอย้ายสิ่งของในนั้นไปจัดหาสถานที่ตั้งสถูปใหม่ตามความเหมาะสมก็ย่อมได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จะต้องทำให้เสร็จภายในสองเดือน โดยฝ่ายไทยจะต้องเสนอแผนงานที่เป็นรูปธรรมมาให้พิจารณาอนุมัติก่อน
โชคดีอย่างยิ่งที่ก่อนหน้านั้น อาจารย์วิจิตรกับเพื่อนๆสิบกว่าคนที่เคยร่วมคณะไปเยือนสุสานลินซินกอง แล้วเจอสภาพของป่าช้าพม่ากับกองขยะเทศบาลที่ส่งกลิ่นตลบ เป็นอัปมงคลยิ่งนัก จึงคุยกันไว้ว่าจะร่วมลงขันคนละ ๕ หมื่นบาท เป็นทุนทรัพย์เริ่มต้นที่จะจัดตั้งกองทุนฟื้นฟู-อนุรักษ์ปฏิสังขรณ์พระสถูปที่กล่าวกันว่าเป็นของพระเจ้าอุทุมพร นายธนาคารท่านหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียน ได้เสนอจะให้สิบล้านบาท หากทางการพม่ายินยอมให้เข้าไปปรับปรุงสถานที่ตรงนั้นให้มีอารยะได้
อาจารย์วิจิตร ชินาลัยเลือกที่จะให้โครงการนี้อยู่ภายใต้สมาคมสถาปนิกสยามฯ โดยนายกสมาคมสมัยนั้นสนับสนุนเต็มที่ จึงได้ออกประกาศรับอาสาสมัครไปทำงาน ได้ครบทั้งมืออาชีพและนิสิตนักศึกษา รวมถึงผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดีอันจะขาดเสียมิได้ เมื่อคนพร้อม ทุนทรัพย์พร้อม ก็ได้รับหมายเชิญจากกระทรวงวัฒนธรรม ให้เข้าร่วมประชุมพร้อมกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีมติให้บูรณาการความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน โดยทางราชการจะสนับสนุนการดำเนินการของคณะทำงานของสมาคมฯครั้งนี้ในนามของรัฐบาลไทยด้วย
คณะทำงานอาสาสมัครไทยเริ่มต้นงานหลังจากเทศบาลเมืองอมรปุระขุดกองขยะที่ถมทับสูงร่วมสามเมตรออก เมื่อทำการเปิดหน้าดิน ความหวังแรกดับไปเมื่อไม่พบอะไรในพระสถูปทรงโกศ แต่เจอแนวกำแพงแก้วล้อมรอบฐานของพุทธเจดีย์ ที่มุมด้านตะวันออกเฉียงเหนืออันเป็นทิศมงคลตามคติพม่ามีร่องรอยของอัฐิสถูปองค์หนึ่งตั้งอยู่ นักโบราณคดีอาวุโสชาวพม่าชี้เป้าให้ขุดตรงนั้นเลย จึงได้เจอหลักฐานสำคัญเป็นพระโกศทรงบาตร เชื่อว่าบรรจุพระบรมอัฐิของพระเจ้าอุทุมพรมหาเถระ ตามเหตุผลที่จะขยายความต่อไป ส่วนภายนอกกำแพงแก้วพบทรากโบราณสถานอันเต็มไปด้วยอัฐิสถูปมากกว่า ๒๐ องค์ ซึ่งตามขนบธรรมเนียมของพม่าแล้ว จะไม่สร้างสถูปบรรจุอัฐิของฆราวาสไว้ในวัดเป็นอันขาด แต่ไทยนิยมสร้างสุสานหลวงไว้ในวัดเพื่อบรรจุพระอัฐิของเจ้านายในราชตระกูลเดียวกัน เช่นสุสานหลวงวัดท่าข้าม อยุธยา วัดสวนดอก เชียงใหม่ และที่วัดราชบพิธ จึงชัดเจนว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นวัดไทย น่าจะคือวัดโยเดียที่ถูกทิ้งร้างหลังพระเจ้ามินดงย้ายเมืองหลวงจากอมรปุระไปสร้างใหม่ที่มัณฑเลย์ กรมโบราณคดีพม่าตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าวจึงเตรียมจะประกาศให้พื้นที่ ๒.๕ ไร่นั้นเป็นโบราณสถาน เพื่อจัดสร้างอนุสรณ์สถานพระเจ้าอุทุมพรมหาเถระเจ้าเป็นการถาวรสืบไป
เมื่อคณะทำงานไทยเสนอแบบแผนในการบูรณปฏิสังขรณ์ เพื่อสร้างอนุสรณ์สถานพระมหาเถระเจ้าอุทุมพร จนกระทั่งได้รับอนุมัติจากกรมโบราณคดีพม่า และเริ่มต้นการก่อสร้างแล้ว กรมศิลปากรซึ่งไม่เคยปฏิบัติตามมติของที่ประชุมของกระทรวงวัฒนธรรมเลย แม้ทางองค์การบริหารภาคมัณฑเลย์มีหนังสือเชิญตัวแทนรัฐบาลไทยไปร่วมประชุมระหว่างนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีก็ไม่ไป ไม่แม้แต่จะตอบปฏิเสธ จนพม่าตัดสินใจ ขอลดระดับความร่วมมือจากระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล เป็นเอกชนพม่ากับเอกชนไทย อยู่ๆกรมศิลปากรก็ออกมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๗ ว่า กรมศิลปากรไม่รับรองพระสถูปพระเจ้าอุทุมพร เพราะเชื่อว่าไม่ใช่ของจริง แต่เป็นโครงการที่รัฐบาลพม่าสร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ฯลฯ ครั้นข่าวนี้ไปถึงพม่าก็ส่งผลกระทบต่อคณะทำงานไทยทันที การก่อสร้างตามโครงการซึ่งได้เริ่มต้นขึ้นแล้วตามกำหนดการถูกสั่งให้หยุด เพื่อรอคำชี้แจงจากรัฐบาลไทยที่สร้างความอัปยศ (พม่าใช้คำว่า disgrace) ต่อคณะผู้เชียวชาญชาวพม่า เรื่องนี้ไม่มีหน่วยงานราชการใดของไทยสนองตอบ คงถือความเห็นของกรมศิลปากรเป็นหลักในการวางเฉย ปล่อยให้เป็นปัญหาของเอกชนพม่ากับไทยจะต้องแก้ไขเอาเอง อนุสรณ์สถานพระเจ้าอุทุมพรมหาเถระเจ้าที่ควรจะสร้างเสร็จภายในสองปีจึงมีอันต้องล่าช้าไปกว่าสิบปี ฉนี้
ที่จริงแล้วกรมศิลปากรไม่มีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องพม่า จึงให้น้ำหนักต่อความเห็นของนายพิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านโบราณคดีของกรมศิลปากร ผู้อ้างว่าเคยเดินทางไปดูพระสถูปทรงโกศมาแล้วปี ๒๕๒๓ แล้วฟันธงว่าไม่ใช่พระเจ้าอุทุมพรแน่ เพราะพระสถูปทรงโกศไม่ใช่สถาปัตยกรรมไทย ประเด็นนี้ อาจารย์พิเศษคงลืมนึกถึงนโยบายกลืนชาติ ก็ในบ้านนั้นเมืองนั้น ใครเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เราจึงไม่เคยพบเห็นสถาปัตยกรรมไทยศิลปะอยุธยาแท้ๆแม้สักแห่งเดียวในพม่า ทั้งๆที่ช่างไทยถูกกวาดต้อนไปหลายพันหลายหมื่นคน
ในวันแถลงข่าว อธิบดีก็ว่าไปตามเนื้อความที่อาจารย์พิเศษเคยเขียนไว้ แม้ทุกวันนี้ คราใดที่มีข่าวเกี่ยวกับพระสถูปพระเจ้าอุทุมพร ก็จะมีคนอ้างข้อคัดค้านของอาจารย์พิเศษ มาด้อยค่าหลักฐานที่คณะทำงานไทยและพม่าค้นพบในลินซินกองอย่างไม่เลิกรา จึงจำเป็นต้องยกเหตุผลมาแจกแจงกันอีกที
จากบทความในวารสาร “สารคดี” ฉบับวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๖ เรื่อง “จริงหรือเข้าใจผิด พบพระบรมอัฐิขุนหลวงหาวัดในแดนอิรวดี” สรุปเหตุผลที่ อาจารย์พิเศษ คัดค้านตั้งแต่ปี ๒๕๔๕ ไว้ ๓ ข้อดังนี้
๑ หลักฐานที่บ่งชี้ว่าสถูปในสุสานลินซินกอนเป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิพระเจ้าอุทุมพร ไม่มีความน่าเชื่อถือและขัดแย้งกันเองกับหลักฐานพม่าอื่น ๆ
๒ แนวคิดเรื่องการตามหาสถูปพระบรมอัฐิน่าจะมาจากพระนิพนธ์ เที่ยวเมืองพม่า ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ แต่ไม่ได้นำมาทั้งหมด และยังถูกเบี่ยงเบนไปในทิศทางอื่น ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเป็นการรับใช้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่กำลังเฟื่องฟูในพม่า
๓ หลักฐานที่ค้นพบใหม่ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะยืนยันได้ว่าเป็นพระบรมอัฐิพระเจ้าอุทุมพร เรื่องนี้ควรยุติตั้งแต่ค้นพบว่าสถูปที่สงสัยกันมานานมิใช่ที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิ แต่ทีมขุดค้นยังไปขุดเจดีย์องค์อื่นแทนแล้วพยายามยืนยันว่าใช่
ขอตอบในข้อ ๒ ก่อน ไม่น่าเชื่อว่าผู้เชี่ยวชาญพิเศษกรมศิลปากรจะยกพระนิพนธ์ เที่ยวเมืองพม่า ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ขึ้นมาเป็นหลักฐานของฝ่ายไทยเพื่อหักล้างหลักฐานประวัติศาสตร์ฝ่ายพม่า พระนิพนธ์ดังกล่าว ทรงเขียนขึ้นในช่วงที่ทรงประทับลี้ภัยอยู่ที่ปีนังหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสมัย ๒๔๗๕ โดยในพ.ศ. ๒๔๗๘ ทรงมีโอกาสพาพระธิดาลงเรือเมล์ไปทัศนศึกษาในพม่าหลายเมือง ขณะประทับอยู่ที่มัณฑเลย์ ๔ วัน ได้เสด็จไปเมืองอังวะ อมรปุระ และสะกาย(ในพระนิพนธ์ว่าสะแคง) ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนักด้วย แต่ก็ได้ทรงกล่าวถึงความสำคัญในประเด็นนี้ไว้แต่เพียงว่า
“การไปเที่ยวดูราชธานีเก่าวันนี้ เมื่อกลับถึงเมืองบีนัง มารู้สึกว่าเสียทีไปเสียอย่างหนึ่ง ด้วยได้เคยทราบแต่ในรัชกาลที่ ๕ ว่า เขาพบที่บรรจุพระบรมอัฏฐิพระเจ้าแผ่นดินสยาม คือ พระเจ้าอุทุมพรหรือที่เรามักเรียกกันว่า "ขุนหลวงหาวัด" ซึ่งไปสวรรคตในเมืองพม่า ฉันเชื่อใจว่าที่บรรจุพระบรมอัฐฐินั้นคงเป็นพระเจดีย์มีจารึกและสร้างไว้ที่เมืองอังวะ เพราะเมืองอังวะเป็นราชชานีอยู่ในเวลาที่พม่ากวาดไทยไปครั้งเสียพระนครศรีอยุธยา ฉันไปครั้งนี้หมายจะพยายามไปบูชาพระเจดีย์องค์นั้นด้วย ได้สืบถามตั้งแต่ที่เมืองร่างกุ้งไปจนถึงเมืองมัณฑเลก็ไม่พบผู้รู้ว่ามีพระเจดีย์เช่นนั้น ทั้งพวกกรมตรวจโบราณคดีก็ยืนยันว่าที่เมืองอังวะเขาตรวจแล้วไม่มีเป็นแน่ ก็เลยทอดธุระ ครั้นกลับมาถึงเมืองบีนังมีกิจไปเปิดหนังสือพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา จึงได้ความว่าพม่าให้ไทยที่กวาดไปครั้งนั้นไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองจักกาย ( คือ เมืองสะแคง) ขุนหลวงหาวัดคงไปสวรรคตและบรรจุพระบรมอัฏฐิไว้ที่เมืองสะแคง ในเมืองนั้นพระเจดีย์ยังมีมาก ถ้าฉันรู้เสียก่อน เมือไปถึงเมืองสะแคง ถามหาเจดีย์ "โยเดีย" ก็น่าจะพบพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมอัฏฐิขุนหลวงหาวัดสมประสงค์ แต่มารู้เมื่อสิ้นโอกาสเสียแล้วก็จนใจ”
ส่วนหลักฐานของพม่าที่หนักแน่นจนไม่สามารถจะปฏิเสธได้ เป็นสมุดข่อยที่พม่าเรียกว่า “นั้นเตวั้งรุปซุงประบุท” แปลว่าสมุดบันทึกประกอบภาพเขียนของราชสำนัก ทำโดยราชเลขาจอว์เทง(ตำแหน่งเจ้ากรมหอพระสมุดในรัชกาลของพระเจ้ามินดง) เมื่อพม่าเสียเมือง อังกฤษได้ขนเอกสารในหอพระสมุดทั้งหมด ซึ่งอังกฤษเรียก “พาราไบ้ก์” (Parabaik) ไปเก็บไว้ที่ British Commonwealth Library เล่มนี้ตีตราเป็นเอกสารหมายเลข " Document 99, serial 288"
ในปี ๒๕๒๓ ศาสตราจารย์ ดร. ตาน ทูน ( Dr. Thun Tun) นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยร่างกุ้ง ได้เขียนบทความว่าพบเอกสารสำคัญเกี่ยวกับกษัตริย์ไทยที่สวรรคตเมืองพม่าในห้องสมุดแห่งนี้ แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายภาพ จึงได้แต่คัดลอกข้อความมาตีพิมพ์ไว้ แต่เรื่องนี้ก็รู้กันในแวดวงแคบๆ จนกระทั่งเมื่อ นพ.ทินหม่อง จี (Dr.Tin Maung Kyi) ได้อ่านพบ และเมื่อมีโอกาสเดินทางไปอังกฤษจึงไปค้นหาหลักฐานนี้ จนพบเมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๓๐ และได้ขอถ่ายสำเนาภาพด้วยเครื่องถ่ายซีร๊อกซ์มาได้
สมุดข่อยเล่มนั้นประมวลภาพเขียนเจ้านายเมืองต่างๆที่เป็นเมืองขึ้นพม่า และถูกนำมาประทับในเมืองหลวง ส่วนใหญ่เป็นเจ้าฟ้าไทใหญ่ในรัฐฉาน มีหน้าหนึ่งในนั้นเป็นภาพกษัตริย์สวมมงกุฎ ข้อความที่บรรยายใต้ภาพแปลความเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า
The third founder of Ratanapura and Lord of The White Elephant, fought and won Ayodaya, together with the King. The King was brought here. During the reign of his brother, the founder of Amarapura, the King while in monkhood, died at Amarapura. At Linzingon susana, he was entombed, cremated with great honor entitled to a monarch.
This is the image of Chaofa Ekadath
คำแปลเป็นภาษาไทยแบบตรงตัว
ผู้ก่อตั้งรัตนปุระองค์ที่สามและพระเจ้าช้างเผือก ทรงรบชนะโยเดียพร้อมกับกษัตริย์ กษัตริย์ได้ถูกนำมาที่นี่ ระหว่างรัชกาลของพระราชอนุชา ผู้ก่อตั้งอมรปุระ กษัตริย์ขณะทรงสมณเพศได้สวรรคตในอมรปุระ ณ สุสานลินซินกอง พระสรีระของพระองค์ได้รับการถวายพระเพลิงและบรรจุพระสถูปอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติตามฐานะกษัตริย์
นี่เป็นภาพของเจ้าฟ้าเอกทัศ
(โปรดอ่านคำอธิบายขยายความในบทบรรยายประกอบภาพ)
กลับไปที่ข้อโต้แย้งข้อแรกที่อาจารย์พิเศษกล่าวว่า หลักฐานที่บ่งชี้ว่าสถูปในสุสานลินซินกอนเป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิพระเจ้าอุทุมพร ไม่มีความน่าเชื่อถือและขัดแย้งกันเองกับหลักฐานพม่าอื่น ๆ
ปี ๒๕๓๘ นพ.ทินหม่อง จี ได้นำภาพนั้นมาเขียนบทความเรื่อง “ Thai king’s tomb ?” ลงในนิตยสาร Today ซึ่งเป็นนิตยสารเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในพม่า อ้างอิงข้อความในพาราไบ้ก์กับพระสถูปองค์หนึ่งที่มีรูปทรงคล้ายโกศที่พบในสุสานลินซินกอง เมืองอมรปุระ และในปีเดียวกันนั้น รศ. ดร. อิสระ สุวรรณบล ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้เดินทางไปพม่าและทราบข่าว จึงไปดูพระสถูปทรงโกศดังกล่าวแล้ว แล้วได้ทำหนังสือเลขานายกรัฐมนตรีแจ้งเรื่องนี้เพื่อทราบ ทำให้กรมศิลปากรได้รับคำสั่งให้วิเคราะห์และพิจารณา
อาจารย์พิเศษกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ ปี ๒๕๓๘ มีอาจารย์มหาวิทยาลัยรามคำแหงท่านหนึ่งไปเที่ยวพม่า บอกว่าพบเจดีย์พระบรมอัฐิพระเจ้าอุทุมพร เรื่องนี้เป็นข่าวในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ มีการทำหนังสือถึงคุณชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีขณะนั้น เรื่องก็มาที่กรมศิลปากร ขณะนั้นผมรักษาการตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร จึงให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลและเอกสาร อาจารย์ท่านนั้นเปิดเผยว่าได้เค้าเรื่องจากบทความ ดร. ทินเมืองจี ในนิตยสารเพื่อธุรกิจและการท่องเที่ยวชื่อ ทูเดย์ มาทราบภายหลังว่าดอกเตอร์ท่านนี้เป็นนายแพทย์เกษียณจากมหาวิทยาลัยแพทย์เมืองมัณฑะเลย์ ไม่ใช่ดอกเตอร์ทางประวัติศาสตร์
ในบทความ ดร. ทินเมืองจี มีข้อน่าสงสัยถึงที่มาของหลักฐานที่จะชี้ว่าสถูปหรือบริเวณดังกล่าวเป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิพระเจ้าอุทุมพรหรือไม่ มีการอ้างเอกสารโบราณ โดยชิ้นที่เป็นปัญหาคือ สมุดพม่า (Parabike, folded pages) ที่เล่าว่าก่อนสวรรคตพระเจ้าอุทุมพรทรงบรรยายความเศร้าโศกช่วงเสียกรุงบันทึกลงใน สมุดพม่าเล่มนี้เป็นภาษามอญ ต่อมามีเชื้อพระวงศ์ไทยแปลเป็นภาษาอังกฤษ พิมพ์ใน วารสารสยามสมาคม ช่วงทศวรรษ ๑๙๗๐ หลักฐานนี้คือหนังสือ คำให้การขุนหลวงหาวัด ซึ่งทราบกันดีว่าเป็นประวัติศาสตร์อยุธยาจากปากคำของเชลยศึกอยุธยาหลายคนที่ราชสำนักพม่าบันทึกไว้ ความตอนนี้แสดงว่า ดร. ทินเมืองจี มิใช่นักวิชาการที่แท้จริง เพราะความตอนนี้เท่ากับเป็นการเพิ่มบทโศกให้แก่พระเจ้าอุทุมพร ทั้ง ๆ ที่ไม่มีการกล่าวถึงแม้แต่น้อยในหนังสือเล่มนี้”
ถ้าย้อนกลับไปอ่านความในพาราไบ้ก์(Parabaik) จริงๆ จะพบว่าเป็นคนละเรื่องที่อาจารย์พิเศษนำ “คำให้การของขุนหลวงหาวัด” มาเป็นประเด็น การสะกดพาราไบ้ก์ผิดไปเป็น Parabike เลยให้คนศิลปากรพากันออกเสียงว่าพาราไบเก้กันทั้งกรม เมื่อกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อๆไปจึงพัลวันพัลเกไปหมด
“หลักฐานอีกชิ้นที่ยังตรวจสอบไม่ได้คือ ‘ภาพเขียนในสมุดพม่าโบราณ’ เท่าที่อ่านบทความของ ดร. ทินเมืองจี คำบรรยายใต้ภาพไม่ได้ยาวอย่างที่มีการอ้างในปัจจุบัน จากหนังสืออ้างอิงท้ายบทความทำให้ทราบว่าเขาเอามาจากบทความที่เขียนในปี ๒๔๓๗ (สมัยรัชกาลที่ ๕) วิเคราะห์ภาพบุคคลในฉลองพระองค์กษัตริย์ที่มีคำบรรยายว่า ‘พระเจ้าเอกทัศน์’ ว่าควรเป็นภาพพระเจ้าอุทุมพรมากกว่า ผมพอวินิจฉัยได้ว่าสมัยนั้นนักประวัติศาสตร์พม่าทราบดีจากพงศาวดารพม่าเองว่าพระเจ้าเอกทัศน์เสด็จสวรรคตที่กรุงศรีอยุธยา คำบรรยายใต้ภาพนั้นจึงขัดแย้งกับสิ่งที่บันทึกในพงศาวดารพม่า เพราะมีการระบุชัดเจนว่าพระเจ้าอุทุมพรทรงอยู่ในสมณเพศขณะเสด็จสวรรคตที่อังวะ ถ้าใช่ ทำไมยังทรงเครื่องกษัตริย์อยู่ น่าสงสัยว่าภาพนี้ไม่น่าเกี่ยวข้องกับพื้นที่สถูปที่มีการขุดค้นแม้แต่น้อย”
ความในย่อหน้านี้ เป็นที่ชัดเจนว่า ณเวลานั้น กรมศิลปากรยังหา ‘ภาพเขียนในสมุดพม่าโบราณ’ มาตรวจสอบหลักฐานไม่ได้
พาราไบก์ถือเป็นหลักฐานเอกสารที่สำคัญยิ่งยวด หากจะเชื่อข้อมูลฝ่ายพม่าเพียงอย่างเดียวอาจมีปัญหา หากว่าเอกสารดังกล่าวไม่มีอยู่จริง เพื่อความรอบคอบ คณะทำงานฝ่ายไทยได้เคยขอร้องให้คนรู้จักที่อยู่ในลอนดอนช่วยไปติดตามค้นหาดู แต่แรกเจ้าหน้าที่ประจำห้องนั้นหาเอกสารนั้นไม่พบ หลังจากใช้ระยะเวลาอันยาวนานและอดทน สุดท้าย ปาลิน อังศุสิงห์นักศึกษาที่นั่น ได้ช่วยสืบหาจนพบตัวภัณฑารักษ์ซึ่งเป็นคนพม่าชื่อ ซาน ซาน เมย์ ผู้ที่นำเอกสารชิ้นนั้นออกมาให้ นพ.ทิน หม่อง จีดูเมื่อหลายปีที่แล้ว เธอบอกว่าเอกสารได้ถูกย้ายที่เก็บไปอยู่ห้องอินเดีย และหมายเลขที่ถูกต้องก็คือ OMS/Mss Burmese 199 หน้า 48 ภาพสีที่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายส่งมานั้นสร้างความยินดีให้แก่คณะทำงานมาก และหลังจากนั้นก็ได้รับรูปภาพที่ละเอียดชัดเจนกว่าจากกระทรวงต่างประเทศ ที่ท่านรองปลัดฯดำรง ใคร่ครวญได้สั่งการให้สถานเอกอัครราชทูตที่กรุงลอนดอน ไปติดต่อและขอความร่วมมือให้ British Commonwealth Library ช่วยทำสำเนาให้ ดังที่นำมาให้ชมท้ายเรือง
ความหมายของ “ลินซินกอง”
พงศาวดารพม่าฉบับราชวงศ์คองบอง (Konbaung Zet Yazawim) กล่าวถึงพระราชประวัติพระเจ้าอุทุมพรไว้ตอนหนึ่งว่า "...ในจุลศักราช๑๑๒๐ (พ.ศ. ๒๓๑๐) ขณะเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก พระองค์ก็ทรงถูกกวาดต้อนมายังนครอังวะทั้งที่ยังครองเพศบรรพชิด จากนั้นจึงตกมาอยู่ยังกรุงอมรปุระมหานคร แล้วสิ้นพระชนม์ลงในเพศบรรพชิตเมื่อจุลศักราช ๑๑๕๓ (พ.ศ. ๒๓๓๔)...ส่วนพระบรมศพนั้นได้พระราชทานพระเพลิงที่สุสานลินซินกอง "
“ลินซิน” เป็นคำที่พม่าเรียกชนชาติอื่นที่อยู่ด้านตะวันออกโดยเอาเมืองหลวงเป็นศูนย์กลาง จึงไม่หมายเฉพาะชาวลาวล้านช้างเท่านั้น ชาวไทใหญ่ ชาวล้านนาและชาวโยเดียก็ด้วย เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนที่กรุงศรีอยุธยาแตกนั้น พระเจ้าอลองพญาได้ยกทัพไปตีถึงเวียงจันท์และกวาดต้อนเชลยตามรายทางกลับพม่านับหมื่นคน ส่วนหนึ่งนำมาไว้บนเนินน้ำท่วมไม่ถึง ข้างทะเลสาปตองตะมันฝั่งตรงข้ามกับเมืองอังวะ สถานที่นั้นจึงมีชื่อว่าลินซินกอง หรือเนินล้านช้าง เพราะคำว่า “กอง” แปลว่าที่สูง(หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษของพม่าใช้คำว่า Hillock) สันนิฐานว่าเชลยลาวหรือไทใหญ่ ได้ถูกนำมาพักไว้ที่เนินนี้เป็นการชั่วคราว ก่อนที่จะถูกแยกย้ายพาไปปักหลักในตำบลอื่นที่สามารถทำนาทำไร่สร้างผลผลิตได้
ในเมื่อไม่มีสถานที่ใดในพม่าชื่อลินซินกองอีกนอกจากที่อมรปุระเท่านั้น หลักฐานพม่าในพาราไบ้ก์ที่ระบุชัดเจนว่าพระบรมศพของพระเจ้าอุทุมพรได้รับการถวายพระเพลิงที่ลินซินกอง จึงต้องเป็นที่นี่แน่ ดังนั้น การสร้างอนุสรณ์สถานถวายแด่พระองค์ย่อมเป็นการสมควรอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ไม่จำเป็นต้องอ้างเหตุผลอื่นใดมาเสริมด้วยซ้ำ
.
.
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
คำแปลแบบมีขยายความ
ผู้ก่อตั้งกรุงรัตนปุระ(หมายถึงกรุงอังวะ)พระองค์ที่สาม(หมายถึงพระเจ้ามังระ)ผู้มีฉายาว่าพระเจ้าช้างเผือก ทรงรบชนะกษัตริย์อโยธยา และ กษัตริย์ถูกนำมาที่นี่
ในช่วงรัชสมัยพระเชษฐาของพระองค์ (หมายถึงพระเจ้าปดุง พระเชษฐาต่างพระมารดาของพระเจ้ามังระ ขึ้นครองราชย์ด้วยการปราบดาภิเษก) ผู้ก่อตั้งเมืองอมรปุระ กษัตริย์ขณะทรงสมณเพศ (หมายถึงพระมหาเถระเจ้าอุทุมพร) ได้เสด็จสวรรคตที่อมรปุระ พระบรมศพของพระองค์ได้รับการถวายพระเพลิงและบรรจุ(พระบรมอัฐิ)อย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติในฐานะกษัตริย์ ณ สุสานลินซินกอง (ในสมุดข่อยใช้คำบาลีทับศัพท์ พม่าออกเสียงว่าสุสานา มิได้ใช้คำภาษาพม่าที่แปลว่าป่าช้า แสดงถึงความแตกต่าง ดังจะได้กล่าวในบทต่อไป)
ภาพที่เขียนไว้เป็นภาพของเจ้าฟ้าเอกทัศ
ใน parabaik ใช้คำว่า เจ้าฟ้าเอกทัศ เช่นเดียวกับคำบรรยายภาพเจ้านายชั้นสูงชาวไทใหญ่จากรัฐฉานในหน้าอื่นๆ เจ้าครองนครที่มาอยู่อังวะในฐานะเชลยศึกหรือตัวประกัน พม่าจะใช้คำหน้านามว่าเจ้าฟ้าทั้งสิ้น
ประวัติศาสตร์พม่าหากกล่าวถึงพระเจ้าอุทุมพรอดีตกษัตริย์พระองค์ที่ ๓๒ ของกรุงศรีอยุธยา จะเรียกเจ้าฟ้าดอกเดื่อตามพระนามเดิมของพระองค์ พม่าทราบดีว่าพระเจ้าเอกทัศอดีตกษัตริย์พระองค์ที่ ๓๓ สวรรคตในกรุงศรีอยุธยาจากเหตุแห่งสงครามคราวนั้น
(ขวา) ภาพที่ ศาสตราจารย์ ดร. ตาน ทูน ( Dr. Thun Tun) นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยร่างกุ้ง ได้นำมาประกอบบทความที่ตีพิมพ์ในปี ๒๕๒๓ ว่าได้พบเอกสารสำคัญเกี่ยวกับกษัตริย์ไทยที่สวรรคตเมืองพม่าในห้องสมุด British Commonwealth Library แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายภาพ ได้แต่คัดลอกข้อความไว้
(ซ้าย) ภาพถ่ายเอกสาร(Xerox) ที่ นพ.ทินหม่อง จี (Dr.Tin Maung Kyi) ผู้ตามร่องรอยดังกล่าวไปถึงอังกฤษ และได้ขอทำสำเนาภาพมาได้ ในปี ๒๕๓๐
จากหนังสือ ตามรอยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร จากกรุงศรีอยุธยาถึงอมรปุระ โดย ร.ศ.ดร. ศานติ ภักดีคำ
ความว่า
สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรสวรรคต
หลังจากสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรเมื่อทรงผนวช ได้ประทับอยู่ที่กรุงอมรปุระจนถึง พ.ศ. ๒๓๓๘ จึงสวรรคตในสมณเพศ ณ กรุงอมรปุระ ดังความในพงศาวดารพม่า สมัยราชวงศ์คองบอง กล่าวถึงพระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ตอนหนึ่งว่า
"...ในปี พุทธศักราช ๒๓๑๐ (ค.ศ. ๑๗๖๗) ขณะเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก พระองค์ก็ทรงถูกกวาดต้อนมายังนครอังวะทั้งที่ยังครองเพศบรรพชิด จากนั้นจึงตกมาอยู่ยังกรุงอมรปุระมหานคร แล้วสิ้นพระชนม์ลงในเพศบรรพชิต ในพุทธศักราช ๒๓๓๔ (ค.ศ. ๑๗๙๖)...
ส่วนพระบรมศพนั้นได้พระราชทานพระเพลิงที่เลงเซงกอง หรือ ลินชินกง คือ สุสานล้านช้าง
คำว่าลินชิน แปลว่า ล้านช้าง กง แปลว่าเนิน ซึ่งเป็นบริเวณที่พระเจ้ามังระพระราชทานให้เชลยชาวยวน(เชียงใหม่) และชาวอยุธยาอยู่อาศัย ต่อมาเมื่อมีการถวายพระเพลิงแล้วได้มีการสร้างสถูปบรรจุพระบรมอัฐิไว้ ณ ที่นั้นด้วย สันนิษฐานว่า คือ บริเวณเดียวกับที่ปรากฎหลักฐานว่าเป็นวัด เรียกกันว่า "วัดโยเดีย"
ที่ตั้งของสะกาย อังวะ อมรปุระ และมัณฑเลย์ อยู่ใกล้ๆกันโดยมีแม่น้ำอิรวดีเป็นหลัก เสมือนกับกรุงเทพ ธนบุรี สมุทรปราการ และนนทบุรี กับแม่น้ำเจ้าพระยา ชุมชนชาวอยุธยาตั้งอยู่ทั่วไปในเมืองพม่า ไม่ใช่ไปรวมตัวกันอยู่ในสะกายดังที่ผู้เชี่ยวชาญกรมศิลปากรฟันธงตามพระนิพนธ์เที่ยวเมืองพม่า ซึ่งเวลานั้นยังเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ จะหาปัญญาชนชาวพม่าที่รู้เรื่องราวในประวัติศาสตร์น้อยมาก ตำรับตำราอังกฤษดีๆก็เก็บไปเป็นสมบัติของชาติตัวหมด
ลินซินกอง(๓)ในอมรปุระตั้งอยู่ไม่ไกลจากตีนสะพานอูเบง(๑)ที่ทอดข้ามทะเลสาบตองตะมัน(๒)มาจากอังวะ เมืองหลวงเดิม ค่าที่เป็นสะพานไม้สักยาวที่สุดในโลก (๑.๒ กิโลเมตร) และอยู่ไม่ไกลจากมัณฑเลย์ นักท่องเที่ยวทั้งพม่าและต่างชาติจึงนิยมไปเที่ยวกันมากมาย คนของศิลปากรจึงได้แสดงความเชี่ยวชาญในการให้ความเห็นว่า “แนวคิดเรื่องการตามหาสถูปพระบรมอัฐิ อาจเป็นไปได้ว่าเป็นการรับใช้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่กำลังเฟื่องฟูในพม่า”
ข่าวหนังสือพิมพ์ในปี ๒๕๕๕ ที่รายงานว่าสถูปของกษัตริย์ไทยจะถูกไถทิ้ง
และพื้นที่ ๑ เอเคอร์จากพื้นที่ของลินซินกองทั้งหมด ซึ่งองค์การบริหารภาคมัณฑเลย์กันไว้ให้คณะทำงานไทย ขุดค้นทางโบราณคดีเพื่อหาหลักฐาน
พระสถูปทรงโกศเมื่อประมาณปี ๒๕๒๓ เต็มไปด้วยความรกชัฏบนกองขยะเทศบาลสูงท่วมหัว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น