Best Thai History

Amps

วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2566

ตามหา พระบรมอัฐิ ของ พระมหาเถระเจ้าอุทุมพร ตอนที่ ๒ โดย ม.ล. ชัยนิมิตร นวรัตน

 ทำไมกรมศิลปากรไม่รับรองสถูปพระเจ้าอุทุมพร ตอน ๒

พระสถูปทรงโกศ และ หลักฐานบ่งบอกว่าเป็นพระบรมอัฐิ

ข้อคัดค้านที่ ๓  ของอาจารย์พิเศษ เจียจันทร์พงษ์  ที่กล่าวว่า “หลักฐานที่ค้นพบใหม่ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะยืนยันได้ว่าเป็นพระบรมอัฐิพระเจ้าอุทุมพร เรื่องนี้ควรยุติตั้งแต่ค้นพบว่าสถูปที่สงสัยกันมานานมิใช่ที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิ แต่ทีมขุดค้นยังไปขุดเจดีย์องค์อื่นแทนแล้วพยายามยืนยันว่าใช่”
จากมุขปาฐะที่เล่าต่อๆกันมาในชาวชุมชนบริเวณนั้นว่า เมื่อก่อนในลินซินกองมีวัดโยเดีย และสถูปของอดีตกษัตริย์ไทย สอดรับกับพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ว่า “เคยทราบแต่ในรัชกาลที่ ๕ ว่าเขาพบที่บรรจุพระบรมอัฏฐิพระเจ้าแผ่นดินสยาม คือ พระเจ้าอุทุมพรหรือที่เรามักเรียกกันว่า "ขุนหลวงหาวัด" ซึ่งไปสวรรคตในเมืองพม่า” อย่างไรก็ตาม หลังจากพระมหาเถระเจ้าอุทุมพรสวรรคต และพม่าย้ายเมืองหลวงจากอมรปุระไปมัณฑเลย์แล้ว วัดนี้ก็ได้กลายเป็นวัดร้างในที่สุด 
เมื่ออังกฤษได้พม่าเป็นเมืองขึ้นเอาไปผนวกเป็นมณฑลหนึ่งของอินเดียแล้ว ชาวอังกฤษและยุโรปอื่นๆก็ได้นำศพผู้เสียชีวิตในเขตมัณฑเลย์มาฝังที่ลินซินกอง ทำให้สถานที่อันเคยสวยงามได้กลายเป็นสุสานชาวคริตส์ไป ข่าวบอกเล่าที่ไปถึงพระกรรณว่าพบที่บรรจุพระบรมอัฐิพระเจ้าแผ่นดินสยามจึงเป็นไปได้ว่าไปจากคนอังกฤษ  น่าเสียดายอยู่เหมือนกันที่สมัยนั้นไม่ได้มีความคิดที่จะนำพระบรมอัฐิกลับมา อาจจะเป็นเพราะทัศนคติที่คนสมัยรัตนโกสินทร์ยังเคืองใจว่าที่ไทยเสียกรุงให้พม่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพระเจ้าอุทุมพรไม่ยอมสึกจากพระไปช่วยบัญชาการรบ แต่หากมีโอกาสศึกษาพระราชประวัติจนเสด็จสวรรคตแล้ว จะเข้าใจว่าธรรมชาติของพระองค์ท่านไม่ใช่ทหาร หากทรงเป็นพระทั้งกายและจิตวิญญาณ ไม่อาจฝืนกระทำปาณาติบาตได้ การถือเพศบรรพชิตอย่างเคร่งครัดทำให้ทรงเป็นที่นับถือของกษัตริย์พม่าทุกพระองค์ จนได้เป็นพระมหาเถระ นั่นไม่ใช่เพราะทรงเป็นกษัตริย์ หากเป็นพระอรหันต์ในตำนานของชาวอมรปุระด้วย (ดังจะขยายความถึงเรื่องนี้ในตอนหน้า)
หลังอังกฤษคืนเอกราชแก่พม่าแล้ว  ลินซินกองก็ถูกชาวพม่าถือโอกาสเอาศพมาฝังกระจัดกระจายในสุสานฝรั่งอย่างไม่เป็นระเบียบ โดยทำเป็นกุฎิ(ออกเสียงว่ากุด) อันเป็นที่บรรจุศพทำด้วยอิฐก่อฉาบปูนเป็นหลังๆ พม่าเรียกว่าแท้งค์(Tank) ตามธรรมเนียมพม่านั้น จะเผาศพเฉพาะที่เป็นเจ้านายและพระสงฆ์ผู้ใหญ่เท่านั้น  ศพสามัญชนจะถูกฝังลงดิน หรือบรรจุในแท้งค์คล้ายธรรมเนียมจีน ส่วนผู้อนาถายากไร้ก็นำคนตายมาทิ้งแล้วหาดินมากลบไว้ตื้นๆ เศษทรากกระดูกมนุษย์จึงกระจัดจายสุดแล้วแต่สัตว์กินเนื้อจะลากชิ้นส่วนไป  นานเข้าชาวพม่าต่างถิ่นก็ได้เข้ามารื้อสิ่งก่อสร้างในวัดเพื่อเอาอิฐใส่เกวียนไปสร้างบ้าน จนโล่งไปหมดเหลือแต่เสากลมรูปทรงคล้ายโกศที่ไม่มีใครกล้าโค่นล้ม ผู้เฒ่าผู้แก่ในยุคสี่ห้าสิบปีก่อนบอกว่านั่นคือที่บรรจุพระบรมอัฐิ
ก่อนที่จะได้รับการอนุรักษ์ปฏิสังขรณ์ คนยุคก่อนจะพบว่าลินซินกองคือป่าช้าน่าสพรึงกลัว รกชัฏไปด้วยวัชพืชสุมทุมต้นไม้และสัตว์เลื้อยคลาน ยิ่งต่อมาเทศบาลเมืองอมรปุระได้ขนขยะชุมชนมากองทิ้งไว้ ส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวลไปทั่ว ดังที่อาจารย์วิจิตร ชินาลัย ซึ่งติดตามข้อเขียนของ นพ.ทินหม่องจี ไปพร้อมกับอาจารย์มิกกี้ ฮาร์ท เป็นครั้งแรกในปี ๒๕๒๑ มองเห็นแต่ยอดสถูปทรงโกศเหนือระดับพุ่มไม้อยู่ในระยะไกล ไม่สามารถเดินฝ่าเข้าไปถึงได้  ครั้งต่อมาจึงต้องขอให้อาจารย์มิกกี้จ้างคนมากรุยทางไว้ให้ก่อนล่วงหน้า ไม่ให้เดินสุ่มสี่สุ่มห้าไปชนแทงค์บรรจุศพเข้า หลังจากนั้นอาจารย์วิจิตรจึงได้อาสาไปพาเพื่อนพ้องน้องพี่ไปที่นั่นอีกหลายสิบครั้ง โดยทุกครั้งต้องให้อาจารย์มิกกี้ช่วยจัดการจ้างคนถางทางเดินให้ก่อนเสมอ 
อาจารย์พิเศษ เจียจันทร์พงษ์ ไปที่นั่นในปี ๒๕๓๘ แล้วเขียนว่า  “ส่วนหลักฐานที่เป็นคำบอกเล่าของคนในพื้นที่รอบสุสานว่าที่นั่นมีสถูปองค์หนึ่งเป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิ‘พระเจ้าแผ่นดินนอกราชบัลลังก์’องค์หนึ่ง ซึ่ง ดร. ทินเมืองจี มีความเห็นว่าหมายถึงพระเจ้าอุทุมพร เพราะสถูปองค์นั้นไม่เหมือนกับสถูปทั่วไปของพม่า น่าจะเป็นศิลปะไทยมากกว่า ผมได้เคยทำบันทึกชี้แจงว่าเป็นสถูปฝีมือช่างพม่าอย่างชัดเจนไปแล้ว โดยการชี้ให้เห็นรายละเอียดของลวดลายบนสถูปว่าเป็นศิลปะพม่า”
อาจารย์พิเศษตัดสินด้วยเหตุผลเพียงเท่านั้นได้อย่างไร น่าจะรู้ว่า สมัยโบราณเมื่อมีการเทครัว “เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง” สิ่งแรกที่ผู้ชนะกระทำคือการล้างสมองให้เชลยเหล่านั้นเป็นพม่าในทุกวิถีทาง  หากอาจารย์พิเศษไปดูวัดมหาเต็งดอจีในอังวะ ที่คนไทยยุคนี้ตื่นเต้นว่ามีจิตรกรรมฝาผนังเป็นศิลปะอยุธยานั้น ก็ผสมปนเปไปมากแล้ว ส่วนพระสถูปทรงโกศนั้นความจริงคือเสายอดบัวตูม พม่ามักสร้างเป็นสัญลักษณ์แสดงตำแหน่งที่ตั้งสำคัญ(ดูภาพประกอบ) คนพม่าก็วิจารณ์ว่าลวดลายปูนปั้นไม่ใช่พม่าเหมือนกัน สัดส่วนจะดูคล้ายโกศของไทยมากกกว่า นักโบราณคดีไม่ได้แปลกใจที่คณะทำงานขุดค้นไม่เจออะไรในนั้น  เมื่อคนไทยอยากขุดก็ให้ขุดไป จะได้หายข้องใจ  
ข้อความนี้พาดพิงถึงอาจารย์วิจิตร ชินาลัย 
“ปี ๒๕๕๕ เรื่องนี้ดังอีกหลังจากทางการของเมืองมัณฑะเลย์มีโครงการจะรื้อสุสาน ที่เขาจะรื้อเพราะไม่เห็นความสำคัญ คนไทยกลุ่มหนึ่งก็โวยวาย เป็นหัวหน้าสถาปนิก ยกประเด็นจากปี ๒๕๓๘ ขึ้นมาอีกในปี ๒๕๕๖ ผมไม่ทราบว่ามีอะไรเบื้องหลังหรือไม่ แต่เรื่องก็ถูกส่งมากระทรวงวัฒนธรรมและกรมศิลปากรอีก มีการประชุมกันเรื่องนี้ ผมก็เล่าให้ผู้เกี่ยวข้องฟัง แต่ไม่รู้ว่าเขาจะทำอย่างไร ต่อมาก็ปรากฏว่ามีการส่งอาสาสมัครไปขุดค้น มีรายงานออกมา ได้อ่านแล้วก็มีการประชุมอีกครั้ง” 
คณะทำงานอาสาสมัคร ภายใต้สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์นั้น ทุกคนเป็นสถาปนิก วิศวกร และนักโบราณคดี ที่ต้องลางานมา ๑ เดือน “อะไรที่อยู่เบื้องหลัง”นั้นก็คือ โอกาสที่จะได้มีส่วนร่วมในงานอันทรงคุณค่าครั้งเดียวในชีวิต เพื่อกอบกู้พระเกียรติคุณของอดีตกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาผู้สูญหายไปนานในต่างแดน ให้กลับคืนมาสู่การรับรู้ของชนทั้งสองชาติอีกครั้ง หลายคนทราบข่าวช้ามาสมัครไม่ทัน เพราะเพียงสองสามวันโครงการก็รับครบ ๒๐ คน เพิ่มอีกไม่ได้เนื่องจากงบประมาณจำกัด 
ทุกคนทราบดีว่า โครงการไม่มีค่าตอบเเทนวิชาชีพเเละเบี้ยเลี้ยงให้  นอกจากอาหารพม่าที่ผูกไว้กับเจ้าประจำวันละ ๓ มื้อ  กับของว่างในตอนบ่าย และค่าพาหนะไปกลับระหว่างที่ทำงานกับโรงแรมที่อยู่ไม่ไกลกัน ค่าห้องคู่สภาพพออยู่กันได้คืนละ ๕๐๐ บาท  จะมีบ้างที่โครงการจะพาไปเลี้ยงฉลองกันที่ร้านอาหารอื่นๆในกรณีย์พิเศษ หรือเมื่อไปศึกษางานนอกสถานที่  แต่หลังจบงานก่อนกลับบ้าน โครงการได้ให้โบนัสด้วยการพาทุกคนไปท่องเที่ยวพักผ่อนร่วมกันที่พุกาม รายละเอียดค่าใช้จ่ายทุกบาททุกสตางค์ตั้งแต่ต้นจนจบ มีผู้ควบคุมบัญชี ทำรายงานส่งมาให้สมาคมทุกๆ ๒ สัปดาห์ 
เพียงเพราะสงสัยว่าคณะทำงานอาสาของสมาคมสถาปนิกสยามจะมีเบื้องหลังอะไรไม่ทราบกระนั้นหรือ  เมื่อที่ประชุมอันมีปลัดกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธาน มอบหมายให้กรมศิลปากรส่งผู้เชี่ยวชาญไปร่วมบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนไทยในพม่า กรมศิลปากรจึงเพิกเฉย แล้วเพียงรออ่านรายงานสรุปผลการปฏิบัติการด้วยความเข้าใจผิดๆถูกๆ แทนที่จะเชิญคณะทำงานไปอรรถาธิบายข้อสงสัย กลับใช้อำนาจตัดสินความเอาเองตามภูมิรู้อันจำกัดของตน
“กรณีหลักฐานใหม่ เรื่องนี้ไปไกลมาก จากรายงานการขุดค้นสถูปที่ผมได้อ่าน สถูปที่เชื่อว่าใช่ก็ไม่พบอะไรเลย ซึ่งตามที่ควรเป็นก็คือเรื่องจบได้แล้ว แต่กลับไปขุดเจดีย์รายรอบเจดีย์ประธานใกล้กัน พอพบวัตถุที่หน้าตาคล้ายบาตรพระสงฆ์แต่เปิดฝาไม่ได้ ก็อ้างว่าน่าจะใช่เจดีย์องค์นี้แหละ  จะขอให้กรมศิลปากรตรวจสอบ  ผมก็บอกว่าผู้ขุดค้นไปตกลงกับพม่าเองแล้วจะให้กรมศิลปากรไปได้อย่างไร  การขุดค้นทางโบราณคดีเราต้องรู้ขอบเขตเครื่องมือที่มีอยู่ การขุดค้นมิใช่เครื่องมือที่จะเอาไปพิสูจน์ว่าเป็นกระดูกของใคร  อย่าทำเลย…อายเขา ไม่ใช่เอะอะขุดค้น ๆ  ในรายงานยังบอกว่าเจอกระดูกนอกภาชนะชิ้นนี้ด้วย ก่อนจะบอกว่าเจอในภาชนะ  ผมยังมองว่าถ้าเป็นพระบรมอัฐิจริงก็ต้องอยู่ในเจดีย์องค์ประธาน จะอ้างว่าสร้างแบบกษัตริย์พม่าก็ไม่ได้ เพราะท่านไม่ใช่กษัตริย์พม่า”
ตรงนี้ต้องขอลงรายละเอียดหน่อย
เรื่องจริงนั้น  ในวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๖ นายอูทัน ชเว รัฐมนตรีช่วยกระทรวงวัฒนธรรมและคณะได้เดินทางจากเนปิดอว์มาเยี่ยมชมโครงการ หลังจากฟังการบรรยายสรุปเป็นเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้ว ได้กล่าวเสริมว่าท่านเป็นนักประวัติศาสตร์ ก่อนรับตำแหน่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง มีผลงานทางวิชาการหลายเล่ม ตามหลักฐานฝ่ายพม่ามีอยู่ว่าเมื่อพระเจ้าปะดุงถวายเพลิงพระบรมศพพระมหาเถระเจ้าอุทุมพรที่นี่แล้ว ก็ได้สร้างพระสถูปบรรจุพระอัฐิไว้ เพราะชาวโยเดียและชาวอมรปุระเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระอรหันต์ ส่วนเถ้าถ่านพระอังคารที่เหลือก็มิได้เก็บไปไหน แต่ให้สร้างฐานก่ออิฐครอบทับไว้ ด้านบนทำเสายอดบัวตั้งไว้เป็นเครื่องหมาย คนไทยเห็นแล้วเรียกว่าพระสถูปทรงโกศ 
ตามความคิดของท่านแต่เดิมเชื่อว่าสถูปองค์ใหญ่ที่พบเมื่อเปิดหน้าดินออกน่าจะเป็นที่บรรจุพระอัฐิ แต่ผิดหวังเพราะพบว่าถูกโขมยขุดเอาสิ่งของในกรุไปแล้ว ยังดีที่ขุดพบกำแพงแก้วล้อมรอบ จึงทราบว่าเป็นพุทธเจดีย์ของวัดชาวโยเดีย ส่วนตัวท่านยังเชื่อว่าสถูปพระอัฐิธาตุของพระเจ้าอุทุมพรจะอยู่บริเวณนี้แน่ ขอให้ลองเปิดหน้าดินในทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกำแพงแก้ว อันเป็นทิศมงคลตามคติพม่าดู
บ่ายวันนั้น คณะทำงานเริ่มลงมือขุดค้นตามที่ท่านชี้แนะ เมื่อขุดดินออกไปได้ ๘๕ เซนติเมตรก็เจอเศษกระดูกมนุษย์กระจัดกระจาย ต้องหยุดงานเป็นระยะๆ  เมื่อขุดต่อตามแนวกำแพงแก้วลงไปเรื่อยๆก็เจอลานอิฐ  ตกเย็น อิฐปลักหักพังของสถูปองค์เล็กจึงปรากฏให้เห็นหลังจากคุ้ยเอาหน้าดินออก
วันรุ่งขึ้น ทีมงานรื้อกองอิฐหักที่ถมทับข้างบนออก พบว่าเป็นสถูปทรงกลม มีฐานบัวถลาซ้อนกัน ๓ ชั้น ตัวสถูปสอบเข้าเป็นทรงระฆัง เนื้ออิฐมีอายุเก่าแก่และขนาดเท่าๆกับขององค์ประธาน  แล้วเริ่มขุดเจาะตรงส่วนกลางสถูป จนกระทั่งบ่าย ๑๕.๑๕ น. จึงเริ่มพบส่วนบนของภาชนะ ทำด้วยดินเผาปิดทองประดับกระจกเกรียบที่ระดับเกือบสองเมตรจากตำแหน่งแรกขุด  หลังขุดตามลงไปจึงพบส่วนยอดของฝาที่ทำด้วยไม้  มีลักษณะเป็นดอกบัวตูมลงรักปิดทองประดับกระจก ส่วนฝาไม้ผุไปหมดสิ้น เหลือแต่กระจกเกรียบกองเกลื่อนอยู่ในภาชนะ แต่เนื่องจากเป็นเวลาเย็นแล้วจึงให้ปิดหลุมไว้ก่อน  
เมื่อเริ่มงานอีกครั้งในตอนเช้า จึงพบภาชนะดินเผาและเศษกระจกเป็นแผ่นๆปะปนอยู่ในดินสีเทา กระจกดังกล่าวมีทั้งที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าและสีเหลี่ยมคางหมู เรียงตัวกันเป็นกรอบหกเหลี่ยม นักโบราณคดีต้องขุดค้นล้อมอย่างระมัดระวัง วัสดุที่เป็นตัวโครงทำด้วยไม้นั้นผุพังไปหมดแล้ว คงเหลือเฉพาะตะปู ลวดเหล็กขันยึดไม้  กระจกที่ปิดประดับโดยรอบแตกหักไปหลายชิ้น ได้ตัดยกขึ้นมาทีละชิ้นตามลำดับจนหมด พบว่าด้านหนึ่งเขียนเป็นลายพันธุ์พฤกษาและลายเทวดากับกินนรเหาะ แล้วฉาบปรอททับไว้ เมื่อนำขึ้นมาแล้วถูกอากาศพักหนึ่ง ด้านที่ฉาบปรอทก็จะเริ่มหลุดร่อน คณะทำงานจึงต้องเร่งถ่ายภาพเก็บไว้เป็นหลักฐาน  
เมื่อพิจารณาลักษณะการเรียงตัวของกระจกที่เป็นกรอบหกเหลี่ยม นักโบราณคดีพม่าจึงสันนิษฐานว่าเป็นส่วนประดับของพานแว่นฟ้าที่ทำด้วยไม้  จึงผุพังไปหมดแล้ว  พานนั้นตั้งไว้รองรับภาชนะดินเผามีขอบเดินทอง เห็นส่วนฝาที่ลงรักปิดกระจกเกรียบ รอยเชื่อมต่อทำเป็นลายเกลียวปิดทอง ส่วนยอดเป็นรูปบัวตูมที่เก็บไปแล้วเมื่อวันวาน ฝาที่ทำด้วยไม้นั้นผุและยุบตัวลงบางส่วน ยังไม่อาจขุดคุ้ยลงไปภายในได้ 
หลังขุดแซะนำส่วนที่เป็นขอบพานแว่นฟ้าหกเหลี่ยมขึ้นมาหมดแล้ว จึงตัดเซาะดิน นำตัวภาชนะปากกว้างก้นกลม รูปทรงเป็นบาตรพระทำด้วยดินเผา วัดเส้นผ่าศูนย์กลางได้ ๒๕ ซม. ลึกประมาณ ๑๕ ซม. กระจกเกรียบที่ประดับเป็นแก้วอังวะสีเขียวมรกตบางเฉียบอันล้ำค่า การที่กรุงอังวะมีชื่อเต็มว่า “รัตนะปุระอังวะ” ก็เพราะเป็นเมืองเดียวที่สามารถผลิตแก้วอันเป็นที่ต้องการทั้งในและนอกราชอาณาจักรได้ 
คณะทำงานร่วมพม่าและไทยได้ช่วยกันทำความสะอาดโบราณวัตถุที่ค้นพบนี้ด้วยความระมัดระวัง เมื่อนักโบราณคดีพม่าคนหนึ่งได้นำไฟล์ภาพศิลปวัตถุของพม่าสมัยอังวะและอมรปุระมาเทียบเคียง  แสดงให้เห็นหลักฐานชัดเจนถึงราชประเพณีโบราณ ลักษณะของพานแว่นฟ้าและบาตรซึ่งมีความละเอียดในการประดับกระจกมีค่าระดับนี้  บ่งบอกถึงอิสริยยศของเจ้าของว่าต้องเป็นระดับกษัตริย์ พระราชินี หรือพระบรมวงศ์ผู้ได้รับพระราชทานเท่านั้น ยิ่งเมื่อนำสิ่งที่อยู่ในบาตรออกมาแล้ว ทุกคนต้องตื่นตะลึงเมื่อพบว่า อัฐิธาตุที่ถูกเผาแล้วในนั้นถูกห่อไว้ด้วยจีวร มีสายรัดประคต(ที่คาดเอวของพระ)และลูกถวิล(ปลายเชือกรัด)กลึงจากงาช้าง ชัดเจนว่า นอกจากจะเป็นเจ้านายชั้นสูงแล้ว ยังทรงเป็นพระสงฆ์ในขณะสิ้นพระชนม์ด้วย ซึ่งในสมัยพระเจ้าปะดุงปรากฏมีพระองค์เดียวในประวัติศาสตร์ คือพระมหาเถระเจ้าอุทุมพร เท่านั้น
เอ็ดเวิร์ด ฟาน รอย (Edward van Roy) ดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเทกซัส นักวิชาการสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวในระหว่างสัมมนาที่สยามสมาคมฯในปี ๒๕๕๕ เรื่องการค้นพบโบราณสถานอันมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับพระเจ้าอุทุมพรว่า ในทางโบราณคดีนั้น  หากพบหลักฐานที่ระบุชัดเจนว่าสิ่งที่ค้นพบนั้นคืออะไร ของใคร (หมายถึงแผ่นจารึกชื่อ หรือสำหรับกรณีย์นี้อาจจะเป็นดวงพระชาตาในตำแหน่งที่พบพระอัฐิ) จะเรียกว่า Hard evidence ซึ่งถือว่าเป็นข้อยุติ 
แต่หากว่าไม่เจอหลักฐานที่เป็น  Hard evidence ก็อาจจะใช้หลักฐานแวดล้อม เรียกว่า  Circumstantial evidence พิจารณาว่าสิ่งที่ค้นพบนั้นคืออะไร ของใคร ก็ย่อมได้ ในประเทศไหนๆก็มีอย่างนี้อยู่แยะไป
ในกรณีย์ของโบราณสถานที่ค้นพบใหม่ที่ลินซินกง ถือว่ามี Circumstantial evidence มากมาย แต่หากอีกฝ่ายหนึ่งผู้มีอำนาจปักหลักที่จะไม่เชื่อ ก็คงไม่เกิดประโยชน์อันใด ถึงแม้ว่าจะเจอ Hard evidence ฝ่ายนั้นก็อาจจะบอกว่าเป็นของปลอมที่ทำขึ้นก็ได้
กรมศิลปากรก็มีปัญหาเดียวกันนี้ไม่ใช่หรือ ที่นักวิชาการหลายคนตั้งคำถามว่า การเอาป้ายไปปักไว้ที่หน้าพระสถูปองค์หนึ่งในวัดไชยวัฒนารามว่าเป็นที่บรรจุพระอัฐิของเจ้าฟ้ากุ้ง กรมศิลปกรมีหลักฐานอะไรอ้างอิง  ซึ่งป่านนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบ 
 (โปรดติดตามตอนต่อไป)


หลักยอดบัว แสดงอาณาเขตพระราชฐานชั้นนอกของเมืองอมรปุระโบราณ ที่ทางการพม่าอนุรักษ์ไว้เพียงหลักเดียว
เทียบกับเสายอดบัวที่เหลือรอดอยู่เดียวดายในลินซินกอง คนพม่าในท้องถิ่นเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับกษัตริย์ไทยที่มาสวรรคตในอมรปุระ และถวายพระเพลิงพระบรมศพที่นั่น คนไทยเห็นแล้วบอกว่าเป็นพระสถูปทรงโกศ



อุโบสถวัดมหาเต็งดอจี ในเขตเมืองอังวะ รูปลักษณ์สถาปัตยกรรมเป็นพม่าแท้ แต่ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังที่เขียนโดยช่างอยุธยา แต่ไม่น่าจะเป็นรุ่นแรก เพราะเริ่มเพี้ยนไปจากภาพจิตรกรรมสมัยอยุธยาตอนปลายอยู่มาก



ภาพซ้าย ลินซินกองประมาณปี ๒๕๓๘
ขวา เมื่อเทศบาลอมรปุระประกาศให้เจ้าของแท้งค์ย้ายศพออกไปในกำหนด ก่อนที่จะไถทิ้งเพื่อพัฒนาที่ดินเป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยว



สถาพกองขยะชุมชนที่เทศบาลอมรปุระนำมากองทิ้งไว้ในลินซินกอง ให้สลายตัวไปตามธรรมชาติ ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว
ในบริเวณที่ได้รับการกันไว้ให้ขุดค้นหาหลักฐานทางโบราณคดี เทศบาลได้ขุดกองขยะสูงประมาณ ๓ เมตรออกไปทิ้งให้ก่อน แต่ก็ยังไม่หมด คณะทำงานอาสายังต้องทำหน้าที่เก็บขยะที่ตกค้าง และเป็นสัปเหร่อจำเป็นด้วยเมื่อเจอเศษกระดูกของมนุษย์ที่ยังหลงเหลือปะปนอยู่ในนั้น



บรรยากาศที่คณะทำงานอาสาฝ่ายไทย ภายใต้สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ต้องเจอะเจอในระหว่างการทำงาน สถาปนิก วิศวกรและนักโบราณคดีที่อาสาสมัครเหล่านี้ ไม่มีค่าตอบเเทนวิชาชีพเเละเบี้ยเลี้ยงใดๆ นอกจากห้องพักในโรงเเรมที่พออยู่ได้ใกล้ๆกับหน้างาน และอาหารครบทุกมื้อ ทุกคนไปที่นั่นเพื่อหวังจะเข้าร่วม A Noble Project, once in a lifetime job one can find . A Revival of a Long Lost Ayudhya King in the foreign land.



บนซ้าย นักวิชาการพม่าและไทยถ่ายภาพร่วมกัน บนขวา คณะทำงานอาสาของสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์
ล่าง บรรยายกาศขณะทำงาน ต้องไม่ลืมด้วยว่า ทางการพม่ากำหนดเวลาให้เดือนเดียวเท่านั้น กรมศิลปากรจะมาเรียกร้องหามาตรฐานอะไร และต้องเข้าใจด้วยว่า หลักฐานทางโบราณคดีอื่นๆที่เชื่อว่าเป็นวัดโยเดีย ยังคงอยู่ในสภาพเดิมใต้ดิน ถ้าพร้อมจะก็ควรจะขอเข้าไปทำต่อในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาลได้ เมื่อมีโอกาสข้างหน้า ส่วนคณะทำงานนั้น ถือว่างานได้สำเร็จบรรลุเป้าหมายแล้ว ในการป้องกันรักษาสถูปพระบรมอัฐิของพระเจ้าอุทุมพรให้พ้นจากการถูกไถทิ้งทำลาย และได้ประกาศปิดโครงการไปแล้ว



ในระหว่างการทำงาน ผู้หลักผู้ใหญ่ของพม่าได้สนใจมาเยี่ยมชมการทำงานเสมอ ที่เห็นนี้คือนายกเทศมนตรีเมืองมัณฑะเลย์ แต่ในช่วงเดียวกันนั้น ไม่ปรากฏมีข้าราชการไทยมาตามพันธกรณีย์ การบูณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเลยสักคนเดียว



บน นายอูทัน ชเว รัฐมนตรีช่วยกระทรวงวัฒนธรรมและคณะได้เดินทางจากเนปิดอว์มาเยี่ยมชมโครงการ เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๖ ผู้แนะนำให้คณะทำงานลองเปิดหน้าดินในทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกำแพงแก้ว อันเป็นทิศมงคลตามคติพม่าดู
ล่างซ้าย ท่านอดีตเอกอัครราขทูตอาวุโส ประดาป พิบูลสงครามผู้อาสามาช่วยคณะทำงานไทยในเรื่องการติดต่อประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศ กำลังยืนคุยกับอาจารย์วิจิตรอยู่บนตำแหน่ง ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกำแพงแก้ว ซึ่งเวลานั้นยังขุดแต่งไปไม่ถึง และกองอิฐบางส่วนที่โผล่พ้นผิวดินขึ้นมายังไม่ได้เป็นที่สังเกตุ
ล่างขวา อาจารย์ปฏิพัฒน์ พุ่มพวงแพทย์ นักโบราณคดีอาวุโสของกรมศิลปากรผู้เพิ่งจะเกษียณอายุ จึงได้รับเชิญมาทำงานนี้ในฐานะหัวหน้านักโบราณคดีด้วย ในภาพยืนอยู่หน้าสถูปองค์สำคัญที่รื้อย้ายกองอิฐออกไปแล้ว
อาจารย์ปฏิพัฒน์เคยมีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาในช่วงที่มีการอนุรักษ์ปฏิสังขรณ์ใหญ่ และเป็นผู้ขุดค้นหมู่บ้านของชาวโปรตุเกต แต่น่าสลดใจ คนบางคนในกรมศิลปากรไม่ได้ให้คุณค่างานที่ต้องทำอย่างรีบเร่งแข่งกับเวลาให้จบลงภายใน ๑ เดือนเช่นนี้เลย



พระสถูปที่พบหลักฐานสำคัญ บ่งชัดว่าเป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิพระมหาเถระเจ้าอุทุมพร



ซ้ายบน ภาชนะทรงบาตรประดับกระจกเกรียบแก้วอังวะสีมรกต
ขวาบน ชิ้นส่วนกระจกเกรียบแก้วอังวะสีมรกตที่ประดับบนฝาไม้ที่ผุไปแล้ว สีที่ถ่ายภายได้แสงไฟจากโคมไฟฟ้าทำให้ผิดไปจากของจริงที่เป็นสีเขียว
ซ้ายล่าง ลักษณะของพานแว่นฟ้าจากการสันนิษฐานรูปทรงของกระจกที่ติดประดับ ตัวจริงที่เป็นไม้ผุเปื่อยเป็นผงไปหมดแล้ว
ขวาล่าง กระจกเขียนภาพเทวดา ไม้มงคล และสัตว์หิมพานต์ มีปรอทฉาบทับ สำหรับใช้ประดับบนพานแว่นฟ้า
ทำไมบาตรประดับกระจกเกรียบแก้วอังวะสีมรกตจึงมีความสำคัญในคติของพุทธศาสนิกชนชาวพม่า
บาตรเช่นนี้นักวิชาการพม่าเรียกสั้นๆว่าบาตรมรกต แต่ผู้เชี่ยวชาญของกรมศิลปากรกลับกล่าวหาว่าพยายามสร้างภาพให้สำคัญว่าเป็นบาตรทำจากมรกต



โธ่เอ๋ย ในโลกนี้จะหามรกตก้อนโตๆขนาดมาทำเป็นบาตรได้จากที่ไหน
ผู้พูดไม่ได้คิดถึงพระแก้วมรกตของเราบ้างเลย
ภาพจากสมุดข่อยโบราณของพม่า



กระจกเกรียบแก้วอังวะหาอีกไม่ได้มาหลายสิบปีแล้ว เพราะขาดตระกูลช่างสืบทอด
เพื่อเป็นที่ระลึก คณะทำงานได้จำลองบาตรขึ้นตามสัดส่วนจริง โดยประดับกระจกเกรียบเคลือบสีเขียวที่หาซื้อได้ในยุคปัจจุบัน ที่หนากว่าของโบราณมาก



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น