Best Thai History

Amps

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2565

วัดสทิงพระ ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่อีกครั้ง ในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถแห่งกรุงศรีอยุธยา

 เที่ยวสงขลาครั้งที่ ๒ (๒๓-๒๖ มิ.ย.๖๕)

แล้วกลับมาเล่าเติม

ฐานเจดีย์แบบศรีวิชัย ที่ "วัดสทิงพระ" 

หลังอาหารกลางวัน ที่ร้านอาหาร "น้องอาย ทะเล"
ชายหาด เมืองสทิงพระ แล้วกลับมาเที่ยววัดต่อ
"วัดสทิงพระ" 
ตามตำนานพระนางเลือดขาวกล่าวว่า 
เจ้าพระยากรงทองเจ้าเมืองสทิงพาราณสี
เป็นผู้สร้างวัดนี้ขึ้น 
ส่วนหลักฐานหนังสือ "กัลปนาหัวเมืองพัทลุงสมัยอยุธยา" ระบุว่า
วัดจะทิ้งพระ แยกออกเป็นสองวัด 
โดยมีกำแพงกั้นกลางเป็น ๒ วัด 
วัดแรก คือ วัดสทิงพระ ทางด้านทิศตะวันตก 
มีพระครูวินัยธรรมเป็นเจ้าอธิการ 
หมื่นธรรมเจดีย์เป็นนายประเพณี มีข้าพระ ๕ หัวงาน
ส่วนอีกวัดหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันออก 
มีพระมหาเจดีย์องค์ใหญ่ 
มีพระครูอมฤตย์ศิริวั ฒนธาตุ เป็นเจ้าอธิการ 
ขุนธรรมพยาบาลเป็นนายประเพณี มีข้าวัด ๕ หัวงาน  
วัดทั้งสองแห่งนี้มีชื่อเรียกร่วมกันว่า “วัดเจ้าพี่” และ “วัดเจ้าน้อง”
โดยขึ้นกับวัดเขียนบางแก้วคณะป่าแก้ว หัวเมืองพัทลุง 
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงรวมเป็นวัดเดียวกัน
แต่โบราณเดิมเรียกว่า “วัดสทิงพระ” 
ต่อมาเรียกเพี้ยนเป็น “วัดจะทิ้งพระ“ 
สันนิษฐานว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรศรีวิชัย 
โดยพระยาธรรมรังคัลร่วมกับพระครูอโนมทัสสี 
เมื่อจุลศักราช ๗๙๙ หรือปี พ.ศ. ๑๕๔๒ 
หลักฐานที่ยังคง ความเป็นศิลปะแบบศรีวิชัย
สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖ คงเหลือเพียงฐาน เท่านั้น
ในสมัยต่อมา เมื่อพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ เผยแผ่เข้ามา 
ศาสนสถานพุทธแบบมหายาน 
จึงถูกปรับเปลี่ยนแบบองค์ระฆังขึ้นแทน 
(ของเดิมอาจพังทลาย หมดแล้ว) 
ในลัทธิศาสนาพุทธแบบหินยาน ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ 
ต่อมาได้รับการบูรณะขึ้นใหม่อีกครั้ง
ในสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถแห่งกรุงศรีอยุธยา 
( มีพระราชกำหนดกฎหมาย กัลปนาวัด ปีมะแม จ.ศ.๙๖๙ ( พ.ศ.๒๑๕๐ ) 
ปีที่ ๓ ในรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถ


จันทิเมนดุต ศาสนสถานในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน
ศิลปแบบชวาภาคกลาง อายุราวพุทธศตวรรษ ที่ ๑๓ - ๑๕



มหาเจดีย์ วัดสทิงพระ อ.สทิงพระ จ.สงขลา ศิลปแบบศรีวิชัย ผสมอยุธยา อายุราว พุทธศตวรรษ ที่ ๑๖ -๒๒



จันทิเมนดุด เมื่อสมัยปฏิพัฒน์ ถูกเนรเทศ ไปอบรม
วิชาบูรณะโบราณสถาน
ที่ประเทศอินโดนีเซีย ระหว่างปี พ.ศ.๒๕๒๓ - พ.ศ.๒๔๒๔




ปฏิพัฒน์ เมื่อวัย ๗๔ กับโบราณสถาน มหาเจดีย์ วัดสทิงพระ สงขลา



ปฏิพัฒน์ เมื่อวัย ๓๑ ถูกเนรเทศ ไปอบรม วิชาบูรณะโบราณสถาน
ที่ประเทศอินโดนีเซีย ระหว่างปี พ.ศ.๒๕๒๓ - พ.ศ.๒๔๒๔




ปฏิพัฒน์ เมื่อวัย ๗๔ หลังเกษียณแล้ว
ยังต้องใช้วิชาหาอาชีพรับจ้างเลี้ยงตัวเอง



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น