วัดขุนแสน (ตอนที่ ๓)
พ.ศ. ๒๔๘๔ กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียน
วัดขุนแสน เป็นโบราณสถานของชาติตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เล่ม ๕๘ ตอนที่ ๑๖ วันที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๔
เนื่องจาก ความสลับซับซ้อนทางด้านตัวบทกฎหมาย กล่าวคือ
ตัวโบราณสถานนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของกรมศิลปากร
ตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ ( ฉบับที่ ๒ ) พ.ศ. ๒๕๓๕
ส่วนสถานที่ที่โบราณสถานตั้งอยู่นั้น
อยู่ในความรับผิดชอบของกรมการศาสนา
ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ( ฉบับที่ ๒ ) พ.ศ. ๒๕๓๕
และเพราะวัดขุนแสนเป็นวัดร้างที่มีกฏหมายควบคุมอยู่ ๒ ฉบับ
มีหน่วยราชการดูแลรับผิดชอบ ๒ แห่ง
ทำให้เกิดปัญหาในการบริหารและการจัดการหลายประการ
จนพื้นที่วัดถูกจัดสรรให้เช่า
เป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน ขึ้นไปจนถึงบนเจดีย์ประธานองค์ใหญ่
และที่น่าสมเพชเวทนา ที่สุด คือ
ได้ปล่อยให้มีการประกอบธุรกิจทางเพศ
ในบริเวณนี้จนเป็นที่เลื่องลือกันโดยทั่วไป
และถึงแม้ว่าธุรกิจทางเพศดังกล่าวจะเลิกลาไปนานแล้ว
แต่ยังเป็นที่กล่าวถึงจนทุกวันนี้
จนกระทั้ง ใน ปี พ.ศ. ๒๕๓๗
กรมศิลปากร โดยสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ ๓ ขณะนั้น ได้ทำการสำรวจศึกษาเพื่อออกแบบบูรณะ
และได้ดำเนินการบูรณะแล้วเสร็จใน พ.ศ. ๒๕๓๙
การบูรณะ ได้ย้ายบ้านเรือนราษฎรที่ปลูกทับโบราณสถานออก
ทำให้ปรากฏรากฐานของสิ่งก่อสร้างสำคัญในวัดเพิ่มเติมขึ้น คือ
วิหาร เจดีย์ขนาดย่อม อีก ๕ องค์
ซึ่งอาจจะมีเจดีย์ องค์ใดองค์หนึ่ง
ใช้เป็นที่บรรจุอัฐิของพระยาเกียรติ พระยาราม ก็เป็นได้..
.เสียดายที่ ไม่ได้อยู่เป็นผู้ดำเนินการขุดแต่งเอง
มิเช่นนั้น อาจมีเรื่องราวที่จะกล่าวมากกว่านี้ก็เป็นได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น