บันทึกการสำรวจ
เมืองอโยธยา คณะโบราณคดี พ.ศ.๒๕๑๔
ตอน : รายงานการขุดตรวจชั้นดิน วัดอโยธยา
วันจันทร์ที่ ๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๔
เริ่มทำการขุดตรวจชั้นดิน
ในบริเวณที่มีรอยขุดดินขาย พื้นที่ขนาดใหญ่ ประมาณ ๑๐๐ –๒๐๐ เมตร อยู่ทางด้านตะวันตกของวัดโบสถ์
จากการขุดเจาะ DEX
ตามบริเวณที่ต่าง ๆ ในเขตวัดอโยธยา
พบว่า ดินที่เป็นชั้นอิฐ มี ๒ สมัย
มีระยะห่างกันโดยคั้นด้วยดินเหนียวสีดำถึง ๒ ระยะ
ขุดลึกลงไปถึง ๑๐ เมตร
พบว่าเป็นดินธรรมชาติ( Natural soil)
และถึงชั้นดินเหนียวปนทรายมีน้ำเป็นที่สุด
และเมื่อออกไปขุด DEX ( Drill Excavation )
ที่บริเวณทุ่งรอบนอกบริเวณวัดอโยธยา ทางด้านทิศใต้
ในระดับประมาณ ๑๖๐ ซม. ก็พบชั้นทรายแม่น้ำ
เมื่อพิจารณาดูชั้นดินทั้งสองแห่งแล้ว
จะเห็นได้ชัดเจน ว่า
ชั้นดินทรายเป็นชั้นที่อยู่ต่ำที่สุด
ชั้นดินดาลที่บริเวณท้องน้ำไม่มีปรากฏ
แต่ปรากฏว่า บนบริเวณโคกวัดมีชั้นนี้หนามาก
ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่า
ก่อนจะสร้างวัด
ได้ขุดเอาดินโดยรอบมาถมที่เสียก่อน
ดังที่ อ.คงเดช ประพัฒน์ทอง วินิจฉัยไว้
การค้นหาเมืองอโยธยา
ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเหมือนดังที่คิด
แม้ว่า เรื่องราวของเมืองอโยธยา
จะมีทั้งตำนานเอกสารต่าง ๆ ยืนยัน
อย่างมั่นคงและแน่นหนา
แต่เรื่องราวต่าง ๆ เหล่านั้น
ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงตัวอักษร
ที่ถูกเรียบเรียงประกอบขึ้น
โดยอาจจะเป็นจากคำบอกเล่าที่เล่าสืบต่อเนื่องกันมา
จนกลายเป็นนิทาน ตำนานไปสิ้น
หาหลักฐานที่ยืนยันแน่นอนไม่ได้
จึงก่อให้เกิดประเด็นการโต้แย้งกันขึ้น
ในระหว่างความคิด
และเป็นการโต้แย้งที่ไม่มีข้อยุติ.
หลักฐานและเรื่องราวของเมืองอโยธยาจะยุติลงได้
ก็ด้วยการพิสูจน์อันมีหลักฐานที่แน่นอน
ที่เคยทำกันมาแต่ก่อน ก็คือ
การขุดตรวจชั้นดิน
ซึ่งต้องใช้ทุนทรัพย์ เวลา
ตลอดจนการเขียนรายงานที่ละเอียดเพียงพอ
ก้าวแรกของการสุ่มหาแหล่งขุดที่แน่นอน
โดยการนำ ของ อาจารย์ วีรพันธ์ุ มาไลยพันธุ์
และดูจะเป็นการเริ่มขึ้นเป็นครั้งแรก
ใน คณะโบราณคดี
คือ "การเจาะตรวจ ( Drill Excavation ) " วิธีการเจาะตรวจจะให้รายละเอียดเกี่ยวกับชั้นดินได้อย่างชัดเจน
สามารถจะบอกสมัยของบริเวณแถบนั้นได้
อย่างใกล้เคียงมาก
และในขณะเดียวกัน
ก็สามารถที่จะบอกได้ว่า
ในชั้นดินใดที่เคยมีมนุษย์อาศัยอยู่
โดยอาศัยดูจาก Artifact ที่ได้มาในชั้นดินนั้น ๆ
นำไปเปรียบเทียบกับโบราณวัตถุ อื่น ๆ ที่พบ
และมีหลักฐานที่แน่นอนแล้ว
อาทิ เช่น อิฐ เศษเครื่องปั้นดินเผา เป็นต้น
นอกจากนั้น
ชั้นดินในแต่ละชั้น
อาจจะนำไปหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากทางด้านธรณีวิทยา
ซึ่งจะสามารถบอกให้ทราบได้ถึง
อายุของชั้นดินแต่ละชั้นว่ามีอายุประมาณเท่าไร
การขุดเจาะด้วยวิธีการเช่นนี้
ได้นำมาใช้ในการสำรวจหาเมืองอโยธยา
ณ บริเวณที่เชื่อกันว่าเป็นเมืองอโยธยา เดิม
โดยยึดเอาพื้นที่บริเวณวัดอโยธยา (วัดเดิม)
เป็นสถานที่ขุดเจาะแห่งแรก
เมื่อได้ขุดเจาะดูชั้นดินแล้ว (ลึก ๑๐ เมตร)
ผลที่ได้รับกับประวัติและโบราณสถานที่ยังเหลืออยู่ คือ
ร่องรอยของการซ่อมแซมเพิ่มเติม
การขุดเจาะชั้นดิน ทำให้รู้ได้ว่า
ณ สถานที่วัดนี้ ได้มีการซ่อมแซม
หรือ การทับถมอยู่ของคน ๒ รุ่น
ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่า
เป็นคนในรุ่นอยุธยาตอนต้น
และ คนในสมัยอยุธยาตอนปลาย
เพราะลักษณะของอิฐ
เป็นอิฐที่สร้างด้วยคนในสมัยอยุธยา
เช่นเดียวกันกับ
รูปแบบและเนื้ออิฐที่พบ
มิได้มีความเก่าแก่เกินขึ้นไปถึงอิฐในสมัยลพบุรี
หรือ ทวาราวดี
และเหนือชั้นอิฐขึ้นมาเป็นชั้น Humus
ซึ่งเพิ่มพูนขึ้นมาในระยะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
จากข้อมูลที่ได้จากชั้นดิน
เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับร่องรอยของโบราณสถาน แล้ว
อนุมานได้ในชั้นนี้ว่า
บริเวณวัดอโยธยา(วัดเดิม)
มิได้มีอายุเก่า
ขึ้นไปถึงเมืองอโยธยา ( ก่อน พ.ศ.๑๘๙๓ ) ได้เลย
วัชรินทร์ พุ่มพงษ์แพทย์...รายงาน
สิงหาคม ๒๕๑๔
จุดแดง คือ ตำแหน่งวัดอโยธยา (วัดเดิม) ที่เริ่มการสำรวจชั้นดินด้วยวิธีการ Drill Excavation (DEX) เพื่อตรวจหาความเป็นไปได้ของเมืองอโยธยา เป็นครั้งแรก สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๔
พระอุโบสถ วัดอโยธยา (วัดเดิม) สร้างสมัยรัตนโกสินทร์
เจดีย์วัดอโยธยา (วัดเดิม) สมัยอยุธยา ตอนต้น และ สมัยอยุธยาตอนปลาย
เจดีย์ประธาน สมัยอยุธยาตอนต้น...ได้ขุดตรวจฐาน เจดีย์องค์นี้ทางด้านนี้ (ทิศใต้) เมื่อ ปี พ.ศ.๒๕๑๔ พบว่า รากฐานของเจดีย์ เป็นดินอัดแน่น ตามรูปแบบของการวางฐานรากการก่อสร้างเจดีย์โดยทั่วไป สมัยอยุธยา ที่ไม่มีเสาเข็ม
วิธีการ สำรวจชั้นดิน ก่อนเลือกสถานที่ขุดค้น แบบ Drill Excavation อาจารย์ วีรพันธุ์ มาไลยพันธุ์ เป็นผู้นำมาใช้ในวงการโบราณคดี เป็นครั้งแรก พ.ศ.๒๕๑๔
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น