Best Thai History

Amps

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2563

วัตรปฏิบัติ บางวัน ในการเรียนโบราณคดี รอบสอง ตอน : นั่งรถไฟไปเที่ยวเขาพระวิหาร (๑)

ตอน : นั่งรถไฟไปเที่ยวเขาพระวิหาร (๑)

คณะโบราณคดี จัดนำเที่ยวเขาพระวิหาร
เมื่อต้นปี ข้าพเจ้าไม่ได้ไปด้วย

แต่ครั้งนี้ ท่านอาจารย์
หม่อมเจ้า สุภัทรดิศ ดิศกุล จัดทัวร์
เปิดโอกาสให้ตามไปสมทบด้วย
โดย นั่งรถไฟไปกับ เพื่อน ๆ จำนวน ๑๐ คน

วันศุกร์ที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๑๕
ออกเดินทางโดยรถไฟ
สายกรุงเทพฯ - อุบลราชธานี
รถธรรมดา ชั้น ๓ ราคาไปกลับ ๘๓.๕๐ บาท

คณะของเราที่เดินทางนี้
จะไปสมทบกับคณะทัศนาจรของท่านอาจารย์
ที่ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อต่อรถธรรมดาไปเขาพระวิหาร

พวกเราไปขึ้นรถเมื่อเวลา ๑๕.๓๐ น.
ตอนที่ไปจองที่นั่งนั้น
มองเห็นพวกคณะกลองวยืนอยู่ที่ข้างชานชาลา
ในใจนึกหวั่นเกรงอยู่แล้ว
จึงพยายามที่จะหลีกเลี่ยงไม่นั่งรถโบกี้เดียวกัน

ตอนแรกที่ขึ้นไปจองที่นั่ง ดูจะได้ผลดี
แต่พอขึ้นไปจอง

หัวหิน (อาจารย์ มยุรี วีระประเสริฐ (สมุทรสาคร)
โบราณคดี รุ่น ๑๔)
กับ แอ๊ว ( อาจารย์ พัชรี สาริกบุตร โบราณคดี รุ่น ๑๔ )
หายไป ไม่รู้ว่าไปจองโบกี้ไหน

สักครู่หนึ่ง พิเศษ สังขสุวรรณ (ต้า) (โบราณคดี รุ่น ๑๓)
ไปตาม จึงรู้ว่า ไปจองได้โบกี้ข้างหน้ารวมกับพวกคนอื่น ๆ อีก ๖ คนที่ไปร่วมด้วยกัน

ก็เลยย้ายไปนั่งรวมกัน เลยเจอกับพวกกลองยาวนั้นจนได้
ทั้ง ๆ ที่พยายามจะหลบหลีกไม่ให้พบปะกันแล้วทีเดียว

กว่าทุกคนจะมากันพร้อมเพียง
เราต้องเสียที่นั่งที่จองไว้หลายที่ให้กับคนอื่น ๆ
ที่ขึ้นมาและนั่งเอาดื้อ ๆ
มิวายที่จะห้ามปรามอย่างใด ก็ไม่เป็นผล

แต่อย่างไรก็ตาม พวกเราทุกคน
มีที่นั่งกันถ้วนทั่วทุกตัวคน
ไม่มีผู้ใดเดือดร้อน
เพราะตอนที่จองไว้ เผื่อที่นั่งเกินจำนวนคนไว้
ด้วยไม่มีใครทราบอย่างแท้จริงว่า
คณะที่ไปคราวนี้มีกี่คน
สุดท้าย ก็เกินจากจำนวนที่ตกลงกันไว้ จาก ๘ คน เป็น ๑๐ คน

ถ้าจะว่าไปแล้วการเดินทางในระยะทางไกล ๆ
ความสนิทชิดเชื้อระหว่างคนโดยสารรถไฟจะมีมากกว่า
การเดินทางด้วยพาหนะอื่น ๆ
ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะการเดินทางโดยรถไฟ นั้น
เป็นระยะที่ยาวและเปิดโอกาสให้เดินไปมา
เหมือนเป็นสะพาน
ให้ผู้โดยสารทำความคุ้นเคยโอภาปราศรัยกันได้

ตลอดระยะทางอันยาวนาน คือ ประมาณ ๑๒ ชม. เศษ นั้น
ในรถไฟก็ไม่มีอะไรจะให้ทำมากไปกว่าการคุย

สำหรับพวกเรานั้น ฆ่าเวลาด้วยทุก ๆ กรณี
ที่ไม่ว่ามีช่องทางใดเปิดโอกาสให้

พอแดดร่มลมตก
บรรดาพวกผู้ชายทั้งหลายที่ไปในคณะ
ก็ร่วมใจกันร่ำสุราบาน

การดื่มสุราบนรถไฟ ถือกันว่า...
ช่วยเพิ่มรสชาติและบรรยากาศในการเดินทางได้เป็นอย่างดี
และแปลกไปจากดื่มในที่ธรรมดาไปอีกแบบ

ในขณะที่พวกเราล้อมวงสุราบานอยู่นั้น
คณะกลองยาว
ซึ่งรับรู้ในภายหลังว่า
จะเดินทางไปทอดผ้าป่าที่จังหวัดสุรินทร์
ดังนั้น พวกเราจึงแทบจะไม่ได้หลับนอนกันตลอดทั้งคืน

เพราะเสียงเพลง
เสียงโห่ร้องและเสียงอึกทึกต่าง ๆ
ที่บังเกิดขึ้นมาจากแหล่งกลองยาวนั้น

ระหว่างทาง รถจะจอดที่สถานีจังหวัดนครราชสีมา
ประมาณ ๓๐ - ๔๕ นาที
เป็นระยะช่วงเวลาที่ออกมายืดเส้นยืดสาย
คลายความตึงเครียดลงได้
หลังจากที่ต้องนั่งรถไฟมานานถึง ๖ ชม.
ใครจะหาอะไรกินที่สถานี ก็ตุน ๆ กันไว้พอประทังหิวไปได้

ช่วงระยะเวลาเดียวกันนั้น
ตำรวจรถไฟได้ขึ้นมาเอาชาย
ซึ่งอยู่ในกลุ่มของคณะกลองยาวไปคนหนึ่ง
โดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน

แต่ท่าทีของตำรวจนั้น ดูไม่ค่อยจะปรานีเลย
เหมือนจะลากลงไปซ้อมประมาณนั้น

แต่ข้าพเจ้าก็เพียงคิดอยู่ในใจ เหมือนกันว่า
คงจะไม่เป็นเช่นนั้นแน่

หลังจากนั้นสักพักหนึ่ง
ก็เห็นตำรวจกลุ่มหนึ่งยืนล้อมชายคนนั้นอยู่ที่ชานชาลา
และคงจะส่งตัวให้ลงเสียที่นั้นเลยก็อาจเป็นได้

พวกเรานั่งหลับ ๆ ตื่น ๆ
ไปจนกระทั่งถึงจังหวัดสุรินทร์
พวกคณะผ้าป่าลงไปหมดแล้ว
แต่ก่อนหน้าจะลง
ก็เล่นเพลงลากันอีกครั้งอย่างมโหฬาร

ตลอดคืนระหว่างการเดินทาง
“เจี๊ยบ อาทิตย์ แก้วผลึก” (โบราณคดี รุ่น ๑๕ )
ไปร่วมวงอยู่กับเขาตลอด

เมื่อเขาลงไปหมดแล้ว จึงกลับมารวมกลุ่ม
และบอกว่า เขาเล่นเพลง

หมอรำเรื่องขุนช้างขุนแผน

มาโดยตลอดทาง
เราต้องยอมรับว่าพวกเขาเสียงดี
และตีกลองยาวได้ไพเราะ
เพียงแต่ว่า การกระทำทั้งหมด
มากเกินไปเท่านั้น

พวกเรา พากันอนุโมทนา สาธุ กับผลบุญ
ที่พวกเขาทั้งหลายอุส่าห์หอบหิ้วสังขาร ทรมานร่างกาย

รื่นเริงมาด้วยสุรา อย่างเสื่อมสติ
เพื่อไปทำบุญ ลบล้างกรรม
ที่ก่อขึ้นในระหว่างทางนี้ ได้เท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ ทำให้รู้สึกว่า
การทำบุญของพุทธศาสนิกชนปัจจุบัน
ความมีศรัทธาเป็นเพียง
ส่วนหนึ่งของเหตุผลอันอื่น
มากกว่า จะเป็นจุดประสงค์ในการทำบุญอันแท้จริง

ข้าพเจ้า อยากจะคิดต่อไปอีกว่า

แม้ในอนาคตกาลก็เช่นกัน
จุดประสงค์ คงจะไม่ตรงกับความมุ่งหมาย
ที่เป็นประเพณีมาแต่ดึกดำบรรพ์

ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า
คนอื่นจะคิดอย่างไร
เห็นแต่ “พี่ขุน”
(อาจารย์ คงเดช ประพัฒน์ทอง (โบราณคดี รุ่น ๔)
คนหนึ่ง ที่กล่าวไว้ในทำนองเดียวกันนี้ ว่า

“หากแม้นปุถุชนมีเจตนาจะทำบุญ ก็จงทำเถิด
ทำด้วยจิตอันบริสุทธิ์
มิได้ทำไปเพื่อความสนุกสนาน
หาสถานที่ดื่มสุราที่แตกต่างไปจากที่เดิม
จงทำด้วยความประสงค์อันดี
แม้นขัดข้องด้วยประการใดก็ตาม
จงเอาเงินหรือสิ่งของที่ปรารถนาจะทำบุญ นั้น
มอบหมายให้ผู้ใดผู้หนึ่งนำไปถวายวัดเสียเลย ทันที
มิต้องมีขบวนแห่แหนให้ครึกโครม
และสร้างกรรมมันมิถูกมิควรเหล่านั้น
ก็จะได้บุญมากกว่าอีก”


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น