ตอนที่ ๑ :วัดสันติวัฒนาราม ๔๘ ปี ที่ผ่านมา
จาก ๒๔ - ๓๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๕
ถึง ๑๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๓
วัดนี้มีนามว่า วัดสันติวัฒนาราม
สอบถามได้ความว่า มี พระ ๑ รูป เณร ๑ รูป
แต่เจ้าอาวาส คาดจากสถานการณ์ที่มีผู้มาทาบทาม ว่า
ในพรรษานี้จะต้องมีพระมาเพิ่มอีกหลายรูป
แต่พอหมดฤดูพรรษา
บรรดาพระนวกะภิกษุทั้งหลายก็จะพากันลาสิกขา
ออกไปทำหน้าที่หรือระเริงไปในโลกธรรมอันมากมายไปด้วยสิ่งดึงดูด เร้าล่อใจอยู่จนตราบสิ้นอายุขัย และก็ดูเหมือนว่า วัดแห่งนี้ จะเข้าอยู่ในสภาพเงียบสงบเหมือนเดิม
บ้านน้อย ๆ เพียงไม่กี่หลังคาเรือน
เมื่อรวมกันเข้า ก็จัดเป็นบ้านหมู่หนึ่ง
มีร้านค้าอาหารของชำ ร้านตัดผม เสร็จสรรพในหมู่บ้านหมู่นี้
ร้านขายของชำสองร้าน
ร้านหนึ่งมีอาหารจำพวกก๋วยเตี๋ยวขายด้วย
ส่วนอีกร้านหนึ่งขายของชำโดยเฉพาะ
แต่มีพวกขนมและน้ำแข็งไสไว้ขายเด็กด้วยเช่นกัน
ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของร้านนี้ ก็คือ
เป็นร้านที่มี โทรทัศน์ เป็นอุปกรณ์ล่อใจลูกค้าอยู่ด้วย
ในเวลากลางคืน จะมีผู้คนมานั่งห้อมล้อมดูทีวีกันพอสมควร
แต่ถ้าคืนไหนมีหนังไทย หรือ มวย
ก็เป็นอันรับประกันได้ว่า
ที่ร้านนั้นจะหนาแน่นไปด้วยผู้คน
อันเป็นผลสืบเนื่องไปถึงการขายข้าวของได้บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ
และก็ทำให้บรรยากาศของบ้านในกลุ่มน้อย ๆ กลุ่มนี้
มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกมากมาย
แม้ว่าจะมีโทรทัศน์ดู
ก็มิได้หมายความว่า ในหมู่บ้านนี้มีไฟฟ้าใช้ตลอดทั้งหมู่บ้าน
เพราะไฟฟ้ายังไม่ได้พาดสายเข้าไปถึง
ไฟฟ้าที่เขาใช้กับเครื่องโทรทัศน์นั้น
เป็นไฟฟ้าที่เจ้าของร้านปั่นขึ้นใช้เป็นครั้งคราว
ในขณะเปิดโทรทัศน์เท่านั้น
เมื่อสิ่งที่เขาต้องการจะดูจบ
เขาก็จะหยุดเครื่องปั่นเสีย
หันกลับมาใช้ไฟตะเกียงตามเดิม
ชาวบ้านส่วนมากจะมารวมกันอยู่ที่
บ้าน “ป้าสังข์” คือ ร้านที่ไม่มีทีวี
แต่เผอิญให้ตั้งอยู่ที่หน้าวัดพอดี
แต่ก็มิได้หมายความว่า
คนที่มาวัดแล้วมาแวะที่ร้าน
เพราะแม้แต่ท่านสมภารเอง
ก็ลงมานั่งวิสัชนากับพวกญาติโยมที่ร้านนี้เหมือนกัน
ทั้งนี้คงเป็นเพราะร้านนี้ตั้งอยู่ในทำเลที่เหมาะมากกว่า คือ
ตั้งอยู่ตรงทางสามแพร่ง
ผู้คนที่สัญจรไปมา ย่อมต้องแวะเวียนหากันเป็นธรรมดา
ถ้าหากจะกล่าวกันโดยทั่วไปแล้ว
ร้านที่มีทีวีนั้น ควรจะมีคนอุดหนุนมากกว่า
แต่กลับน้อยกว่า เพราะเหตุทำเลที่ตั้งนี้เอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น