ตอนที่ ๒ : "เณรกอดไม้ตีกลอง"
ในบริเวณหมู่บ้านนี้เอง
นอกจากจะมีวัดสำหรับเป็นเครื่องประกอบศาสนกิจแล้ว
ยังมีโรงเรียนอีก ๑ หลัง
สำหรับเป็นที่เล่าเรียนของพวกเด็ก ๆ ในหมู่บ้าน
แต่โรงเรียนตั้งห่างออกไปจากชายดงไม้
ไปตั้งอยู่กลางท้องทุ่ง
เวลาเด็ก ๆ ไปโรงเรียน
พวกเขาจะพากันเดินออกมาจากดงบ้าง
หรือตามบ้านที่ตั้งอยู่ชาย ๆ ดงบ้าง
แต่งตัวกันตามสบาย ตามมีตามเกิด
หิ้วกระเป๋าใส่หนังสือ ถือปิ่นโตใส่อาหารสำหรับมื้อกลางวัน
เดินเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบเร่งไปตามถนนลูกรัง
ผ่านออกประตูวัดทางด้านทิศเหนือ
ไปประมาณ ๑๕๐ เมตร ก็ถึงโรงเรียนของพวกเขา
ทัศนียภาพเช่นนี้ แม้จะดูเห็นเป็นพื้นที่ ๆ ห่างไกลความเจริญ
แต่ก็หาดูไม่ได้แล้วในเมืองหลวงที่วุ่นวานสับสนและเร่งรีบ
วันไหนมีชั่วโมงกสิกรรม
พวกเด็ก ๆ จะแบกจอบแบกเสียม
ถือมีดถือพร้ามาโรงเรียนด้วย
สิ่งหนึ่งที่เด็กมักชอบทำกัน
เหมือนแฟชั่นเวลามาโรงเรียน และเดินผ่านวัด
ด้วยในเวลานั้น
ใกล้ ๆ กับเส้นทางที่พวกเด็ก ๆ จะต้องเดินผ่านเป็นประจำ
มีต้นจำปีอยู่ต้นหนึ่ง กำลังออกดอกบานสะพรั่ง
พวกเด็ก ๆ มักแวะเวียนเข้าไป
เก็บดอกจำปีเอามาทัดหรือแซมผม
ไม่ได้เก็บเอามาแซมหรือทัดผมคนละดอกสองดอก
แต่คนละหลาย ๆ ดอก
อย่างน้อยที่สุดก็คนละ ๔ – ๕ ดอก
พวกที่เก็บดอกจำปี
ไม่ได้มีเฉพาะพวกเด็กผู้หญิง
เด็ก ๆ ผู้ชายก็เก็บเอามาพันกับผมสั้น ๆ รอบ ๆ ศีรษะ
ได้เหมือนกัน
เด็กบางคนมาโรงเรียนตั้งแต่เช้ามืด
ปีนป่ายขึ้นไปบนต้นจำปีข้างเจดีย์บรรจุอัฐิ
เก็บทุกดอกที่ใช้ได้
ตั้งแต่โคนกิ่งไปจนถึงปลายกิ่ง
เป็นสิ่งที่น่าหวาดเสียวเป็นที่สุด
เมื่อเห็นปลายกิ่งที่น้มไปตามน้ำหนักตัวของคนปีน
หากกิ่งจำปีหัก
พวกเด็ก ๆ คงตกลงไปคอหักตายเป็นแน่แท้
เพราะต้นจำปีไม่ใช่เตี้ย ๆ เรี่ยอยู่กับดิน
สูงพอสมควรทีเดียว
การเก็บดอกจำปีด้วยวิธีดังกล่าว
ทำให้เป็นที่ขัดเคืองใจของสมภารเจ้าวัดเป็นอย่างยิ่ง
เช้า ๆ ท่านจะออกไปยืนตะโกนด่าพ่อด่าแม่เด็ก ๆ
ไปจนแตกกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง
บางครั้งก็เป็นพวกลิง ๆ สมุนของท่านเอง คือ
ท่านจะให้พวกลูกศิษย์วัด
ออกไปห้ามปรามพวกขึ้นต้นจำปี
เด็กวัดก็จะพากันวิ่งออกไปกำราบปราบปรามกันถึงโคนต้น
แต่แทนที่พวกสมุนของสมภาร
จะออกไปห้ามปรามแต่เพียงอย่างเดียว
กลับพากันปีนป่ายขึ้นไปเก็บกันเสียเอง
ความจริงต้นเรื่อง ก็คือ
พวกเด็กวัดเหล่านี้เอง ที่พากันฟ้องสมภาร
อาศัยปากสมภารเป็นคนด่า
เพราะพวกเด็กวัดก็นิยมทัดดอกจำปีเหมือนกัน
เด็กวัดนี้ ไม่ใช่เล่นทีเดียว
นอกจากจะทำหน้าที่รบกับพวกเด็ก ๆ
ที่มาเก็บดอกจำปีแทนสมภารแล้ว
ยังหาโอกาสหยอกล้อ
เล่นกับเณรตามประสาเด็ก อีกด้วย
กล่าวคือ ที่บนวัดมีกลองเพลและระฆังแขวนอยู่
เณรมีหน้าที่ในการตี เพื่อบอกสัญญาณ ต่าง ๆ ของวัด
แต่พวกเด็กวัดจะคอยแย่งเณรไปทำหน้าที่เสียเอง
เพราะฉะนั้น
เพื่อไม่ให้พวกเด็กวัดมาแย่งหน้าที่อันสำคัญนี้ไป
เณรจะต้องเหน็บไม้ตีกลองไว้กับรัดประคด
แล้วพกเอาเข้าไปจำวัดด้วย
พฤติกรรมของเณรเป็นเช่นนี้อยู่เสมอ
จนพวกเราขนานสมญานามให้เณรว่า
"เณรผู้นอนกอดไม้ตีกลอง"
เรื่องราวบนวัด
ไม่ได้จบอยู่เพียง
พระ เณร และเด็กวัด เท่านั้น
แม้กระทั่ง "นาค" ผู้เตรียมจะเข้าบวชในพรรษานี้
ซึ่งจะต้องมานอนอยู่ที่วัด
หัดเตรียมตัวเตรียมฝึกการเป็นพระ
ซ้อมขานนาคและฝึกหัดสวดมนต์บทต่าง ๆ
ที่จำเป็นให้คล่องแคล่ว
พวกนาคเหล่านี้ มีประมาณ ๔ – ๕ คน
ช่างเป็นการบังเอิญเสียเหลือเกินสำหรับนาคชุดนี้
ที่จะต้องเข้าโบสถ์พร้อมกัน
เพราะเท่าที่ดู ๆ แล้ว
ล้วนแต่คัดเอาหัวกะทิมารวมกันแท้ ๆ
เวลานาคชุดนี้ซ้อมขานนาค
ชะรอยว่าจะท่องกันเบา ๆ แล้วมันไม่จำ
จึงพากันตะเบ็งเสียงให้ดัง ๆ เข้าไว้
คิดดูเอาเองก็แล้วกัน ว่า
เวลาตะเบ็งเสียงสวดดัง ๆ พร้อมกันทั้ง ๕ คน
จะสนั่นหวั่นไหวขนาดไหน
พอตะเบ็งเสียงสวดภาษาพระกันจนเบื่อแล้ว
ก็หันกลับมาเปลี่ยน
เป็นร้องเพลงภาษาชาวบ้านกันบ้างให้เย็น ๆ ใจ
แต่ก็ยังมีสัมมาคารวะ
เกรงใจหลวงพ่ออยู่บ้าง
ที่เวลาจะร้องเพลงภาษาชาวบ้าน
ก็เลือกเอาเวลาที่หลวงพ่อไม่อยู่วัด
แต่หลวงพ่อก็ช่างกระไร
ไม่ค่อยจะยอมไปไหนเสียด้วย
หนัก ๆ ทนไม่ไหวจริง ๆ
ก็เปลี่ยนมาแต่งทำนองสวดเสียใหม่ให้ทันสมัย
โดยแต่งบทขานนาคให้เป็น
ทำนองเพลงลูกทุ่ง
เสียเลย หมดเรื่องไป
สมภารก็ได้แต่นั่งมองตาปริบ ๆ ไม่รู้จะด่าว่าอย่างไรดี
บรรดานาคทั้งหลายเหล่านี้
ขยันท่องขยันสวดอยู่เสมอมิได้เว้นว่าง
ไม่ว่าจะกิน จะนอน จะถ่ายหนักถ่ายเบา หรือจะอาบน้ำ
มีอยู่วันหนึ่ง
ด้วยอารมณ์ที่อยากจะร้องเพลงให้มันครึกครื้นบ้าง
หาที่เหมาะ ๆ ไม่ได้
จึงชวนกันเข้าไปในห้องน้ำสองคน
ปิดประตูขัดกลอนเป็นอย่างดี
เล่นร้องลำตัดกันอย่างเอิกเริกเป็นที่สนุกสนาน
พวกเราก็เลยได้ฟังกันเพลินไป
แม้จะนึกรำคาญอยู่บ้างก็ตาม
เขาสองคนร้องรำทำเพลงกันอยู่นานพอสมควร
แล้วก็พากันออกจากห้องน้ำมาอย่างเงียบสงบ
กลับขึ้นวัดไป
ตอนเช้าพวกนาคก็จะทำหน้าที่เช่นเดียวกับพระ
คือ เดินอุ่มบาตร์ตามพระเณร ออกไปบิณฑบาต
ดูแล้วแปลกตาดี
มีอยู่เช้าวันหนึ่ง ระหว่างที่นาคออกไปบิณฑบาต
มีชาวบ้านคนหนึ่ง
มายืนทำท่าทำทางชี้หน้าด่าว่านาคคนหนึ่ง
ไม่รู้ว่าไปเคยมีเรื่องกันมาแต่ครั้งไหน
พอวันหลังต่อมา
นาคไม่ยอมเดินผ่านบ้านนั้นเสียแล้ว
เณรพาเดินลัดเข้าอีกทางหนึ่ง
พอกลับถึงวัดก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อด่าเสียงขรม
ด้วยเหตุที่นาคไม่ยอมเดินผ่านบ้านโยมสองสามหลังนั้น
หลังจากบิณฑบาตแล้ว
วันไหนสมภารไม่อยู่วัด
นาคกับเณรก็ร่วมวงฉันอาหารด้วยกัน
แต่ถ้าวันไหนสมภารอยู่
นาคก็ต้องนั่งรอให้สมภารกับเณรฉันอาหารเสร็จก่อน
จึงจะกินกันได้ตามกระบวนแบบลูกศิษย์วัดทั่ว ๆ ไป.
เครดิตภาพ Google
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น