ขึ้นเมืองเหนือ ครั้งแรกในชีวิต
ตอนที่ ๒: เมืองภูกามยาว พะเยา
ก่อนอื่น จะต้องขอ กราบนมัสการ ขอบพระคุณ และน้อมส่ง
ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ ( ปวง ธัมมปัญโญ ) หลวงพ่อใหญ่ อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๖
เจ้าอาวาสวัดศรีโคมคำ (พระอารามหลวง) สู่พระนิพพาน
เพราะท่าน เป็นองค์นำสำรวจ เมืองนี้ เมื่อ วันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๐
ตั้งแต่เมื่อครั้งท่าน ยังทรงสมณศักดิ์ เป็น
พระโศภณธรรมมุนี
เจ้าคณะอำเภอพะเยา เจ้าอาวาสวัดศรีอุโมงค์คำ
และ ยังมีเมตตา กับ ข้าพเจ้า
เมื่อครั้ง ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการ สำนักศิลปากรที่ ๗ น่าน ซึ่งรับผิดชอบไปถึงจังหวัดพะเยาด้วย
ตำนานเมืองเหนือ กล่าวถึง
ขุนศรีจอมธรรม ราชบุตรขุนลาวเงิน หรือ ขุนเงินเจ้า
ผู้ครองนครเงินยางเชียงแสน
ขึ้นมาครองเมืองเก่าร้างเมืองหนึ่ง
( อายุ ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ขึ้นไป )
เมืองนี้ มีความพิเศษกว่าเมืองอื่น ๆ อีกหลายเมือง คือ
การ สร้างเมืองโอบล้อมภูเล็ก ๆ ไว้สามลูก
ทำให้มีลักษณะเมืองเป็นเหมือนรูปน้ำเต้า
เรียกเมืองนี้ ว่า
"เมืองภูกามยาว"
และ ต่อมา ได้ปรับเปลี่ยนเป็น
"เมืองพะเยา"
เป็นเมืองที่ยังคงเห็นร่องรอยคูน้ำคันดินที่เห็นได้ชัดเจน
และยังสงวนรักษาไว้ได้อยู่จนถึงปัจจุบัน
อนาคต...???
ข้อสำคัญ เมืองนี้ น่าจะเป็น
เมืองรูปน้ำเต้าเพียงเมืองเดียวในโลก
ที่ควรจะต้องได้รับการอนุรักษ์ ดูแล และป้องกันเป็นอย่างดี ไม่ให้ ถูกบุกรุกทำลายมากไปกว่านี้้
จากหน่วยงานที่รับผิดชอบ และ
หน่วยงานในจังหวัดพะเยา รวมทั้ง
สมาชิกสภาผู้แทนของจังหวัดพะเยา ที่น่ารักและให้ความช่วยเหลือสนับสนุน งานกรมศิลปากร มาโดยตลอด
เพื่อเกียรติภูมิของจังหวัดพะเยา ต่อไป
อัตชีวประวัติปฏิพัฒน์ (วัชรินทร์ )
ขึ้นเมืองเหนือ ครั้งแรกในชีวิต
ตอน.๒ : เมืองเวียงหิน บ้านสะแอน อ.เถิน จ.เชียงใหม่
เช้าวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๐
พวกผู้หญิง เที่ยวในเมืองเชียงใหม่
ส่วนพวกบรรดาผู้ชายทั้งหมด ไปสำรวจเมืองโบราณ
“เวียงหิน” ที่ บ้านแม่ละแอ่น อำเภอฮอด
และ “เวียงท่ากาน” อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่
โดยเหมารถสองแถวคันหนึ่ง
แต่กว่าจะออกจากเมืองเชียงใหม่
ก็ต้องวนเวียนรับใครต่อใครใน มช. กันนานพอสมควร
ออกจากเชียงใหม่ มุ่งหน้าไปทางถนนไป จังหวัดแม่ฮ่องสอน ทางขวาเห็นพระธาตุดอยสุเทพเป็นประกายสีทองเมื่อกระทบแสงแดดเป็นฉากอยู่เบื้องหลัง
ทางซ้าย ชาวนากำลังเกี่ยวข้าว ฟัดข้าว มีเทือกเขาเป็นฉากอยู่เบื้องหลัง ดูสงบเย็น และเป็นวิถีชีวิตชาวนาที่แท้จริง
รถวิ่งผ่าน อำเภอหางดง อำเภอสันป่าตองมาโดยตลอด
แวะบ้านพี่มนวิภา (พี่ป้อม) ไชยพันธ์ (เจียจันทร์พงษ์ )
พี่ชั้นปี ๔
บ้านเป็นแบบพื้นเมืองหลังใหญ่โต มีสวนอยู่หลังบ้าน
แม่ ป้า และยาย พี่ป้อม ออกมาต้อนรับเป็นอย่างดี
และชักชวนให้รับประทานอาหารเช้าที่บ้าน แต่
อาจารย์ ศรีศักดิ์ ปฏิเสธ เพราะจะต้องรีบไปต่อ
เลยอดไปตามธรรมเนียม
จากบ้านพี่ป้อม มนวิภา
ไปแวะกินข้าวที่ อำเภอจอมทอง
แต่ไม่ได้แวะเข้าไปในวัดพระธาตุจอมทอง
ณ ที่นี้ อาจารย์ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม
เมตตา จ่ายเงินซื้อย่ามจอมทอง เป็นแถบลายสีทองบนพื้นแดง สวยงามให้ใบหนึ่ง ราคา ๒๐ บาท
ใช้จนเก่า และยังเก็บเป็นที่ระลึกถึงมาจนทุกวันนี้
เสร็จภารกิจที่อำเภอจอมทองกันเรียบร้อยแล้ว
ก็ออกเดินทางต่อ รถวิ่งไปตามไหล่เขา
มองเห็นลำน้ำปิงไหลเป็นสายอยู่เบื้องล่าง
มีป่าโปร่งอยู่สองข้างลำน้ำ
เสียงน้ำไหลซัดสาดไปกระทบกับโขดหินในน้ำ
ให้ไหลกระเซ็นเป็นละลอกสีขาว ดังอยู่เป็นระยะ ๆ
ผ่านอำเภอจอมทอง เข้าเขตอำเภอฮอด
มองเห็นดอยอินทน์อยู่ทางขวา
ยอดดอยถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอก
หนาทึบจนมองไม่เห็น
จากนั้นไปอีก ถึง กม.ที่ ๙๐ ก็ถึงห้วย แม่ละแอ่น
คณะสำรวจลงกันที่นี้ แล้วเดินไปตามทางที่ปรากฏในแผนที่และภาพถ่ายทางอากาศ
ต้องเดินผ่านป่าละเมาะ
เดินลุยข้ามห้วยที่เย็นยะเยือก ไป
เพราะไม่มีเรือและท่อนไม้ที่จะทอดข้ามไปได้
ข้ามลำห้วย แล้วเดินตัดท้องนาที่เกี่ยวข้าวไปแล้ว
เข้าไปยังเมืองที่เห็นบนภาพถ่ายทางอากาศ
ห่างจากที่จอดรถปประมาณ ๒ - ๓ กิโลเมตรเศษ
การสำรวจร่องรอยของชุมชนโบราณในครั้งนี้
จำเป็นต้องถามชาวบ้านด้วย ว่า
เคยเห็นแนวคูน้ำคันดินไหม ?
เพราะเราไม่ชำนาญทางพอ
ชาวบ้านชี้ทางให้ไป แล้วก็ไปเดินหลงกันอยู่พักใหญ่
เพราะร่องรอยของคูเมืองตื้นเขินไปหมดแล้ว
พอจับได้เส้นทางก็เดินไล่ตามแนวคูเมืองนั้น
ไปจนรอบ
ภายในเมือง ไม่พบหลักฐานโบราณวัตถุใดพอจะใช้เป็นเครื่องยืนยันได้เด่นชัดว่าเป็น เมืองหรือชุมชนสมัยใด
บางทีอาจเป็นเพียงหมู่บ้าน
หรือ ป้อมค่ายชั่วคราว ก็เป็นได้
เราข้ามคูเมืองไปทางฝั่งใกล้ริมแม่น้ำ
พบวัดร้างวัดหนึ่ง ที่ด้านหนึ่งพังลงแม่น้ำไปแล้ว
พบแต่กองอิฐ กองหนึ่ง
ซึ่งไม่แน่ใจว่า จะเป็นฐานชุกชี หรือ
เจดีย์ที่พังเหลือเพียงฐาน
มีร่องรอยของคนขุดหาของเก่าอยู่โดยทั่วไป
หลักฐานเศษโบราณวัตถุอื่นใดไม่มี
นอกจากเศษภาขนะดินเผา ๑ ชิ้น เท่านั้น
ประมาณบ่ายโมงเศษ จึงกลับมาขึ้นรถ
แล้วกลับมาสำรวจตต่อที่ เวียงท่ากาน อีกแห่งหนึ่ง
รายละเอียดมากมาย
ต้องไปอ่านจากรายงานการสำรวจและศึกษา เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย และลำปาง ระหว่างวันที่ ๘ - ๒๐ ธันวาคม ๒๕๑๐
ที่ร่วมกันบันทึก และตีพิมพ์ไว้
ในหนังสือ “โบราณคดี” ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๓ : ๒๕๑๑
อาจารย์ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม
ได้อธิบายถึงความหมาย และ การศึกษาอันแท้จริงของวิชาโบราณคดีให้ฟัง ในระหว่างเดิน อยู่ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มากมาย จนเป็นแบบอย่างที่ยึดถือ และปฏิบัติตามคำสอนมาจนเกษียณอายุราชการจากกรมศิลปากร จนถึงปัจจุบันนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น