Best Thai History

Amps

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559

บรรพบุรุษไทย ปลายรัชสมัยอยุธยา ถึง รัตนโกสินทร์

บรรพบุรุษไทย ปลายรัชสมัยอยุธยา ถึง รัตนโกสินทร์

พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระกำลังทรงมีพระราชประสงค์จะได้หินอ่อนมาปูสระปลาตาเหลือกและสระปลาหน้าคนที่ขนาบสองข้างพระที่นั่งบรรยงค์รัตนาสน์มหาปราสาท ทั้งปูรอบพระที่นั่งทรงปืนที่อยู่ริมสระด้านตะวันออกอยู่พอดี เมื่อทรงได้แผ่นกินอ่อนที่จีนอ๋องเฮงฉ่วนทูลเกล้าถวายก็ทรงโสมนัส ดำรัสสั่งพระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาธิบดีให้จัดหาของป่าในคลังภาษีสินค้าตอบแทนให้จีนอ๋องเฮงฉ่วนตามสมควร สินค้าที่จีนอ๋องเฮงฉ่วนได้รับตอบแทนไปนั้น มีมูลค่าประมาณ ๓,๐๐๐บาท และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จีนอ๋องเฮงฉ่วนเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทที่บริเวณสระน้ำดังกล่าว ทรงปฏิสันถารพอสมควรแก่เหตุแล้ว จึงมีพระราชดำรัสว่า เราจะตั้งเจ้าให้เป็นที่ ขุนท่องสื่อ เจ้าพนักงานผู้นำราชฑูตสยามไปเจริญพระราชไมตรี (จิ้มก้อง) ยังกรุงปักกิ่ง ประเทศจีนในคราวมรส่มนี้ เจ้าจะรับตำแหน่งยศและหน้าที่หรือไม่ จีนอ๋องเฮงฉ่วนได้ยินดังนั้น ก็มีความปราโมทย์ยิ่ง กราบบังคมทูลพระกรุณาว่า ข้าพระเจ้ามีความยินดีด้วยเกล้าฯ เป็นที่สุด ที่จะรับตำแหน่งยศเป็นขุนนางไทย สนองพระมหากรุณาธิคุณให้ถึงที่สุดแห่งชีวิต
สอดคล้องกับความในพระราชพงศาวดารกรุงสยาม ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๘๒ กล่าวถึง “ ลุศักราช ๑๐๔๙ ปีเถาะ นพศก สมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสให้ช่างพนักงานจับการสร้างพระมหาปราสาทองค์หนึ่งในพระราชวังข้างใน ครั้นเสร็จแล้วพระราชทานนามบัญญัติพระมหาปราสาท ชื่อ พระที่นั่งบันยงก์รัตนาสน์ เป็น ๔ ปราสาท ด้วยกันทั้งเก่า ๓ คือ พระที่นั่งวิหารสมเด็จองค์หนึ่ง พระที่นั่งสรรเพชญปราสาทองค์หนึ่ง พระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์องค์หนึ่ง แล้วให้ขุดสระเป็นคูอยู่ซ้ายขวาพระที่นั่งบันยงก์รัตนาสน์ แล้วให้ก่ออ่างแก้วและภูเขา มีท่ออุทกธาราไหลลงในอ่างแก้ว ริมน้ำฝังท่อให้น้ำเดินเข้าไปผุดขึ้น ณ อ่างแก้วริมสระนั้น และให้ทำพระที่นั่งทรงปืน ณ ท้ายสระ เป็นที่เสด็จออก กลับเอาที่ท้ายสนมเป็นที่ข้างหน้าและให้ทำศาลาลูกขุนในซ้ายขวา และโปรดให้ขุนนางเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ พระที่นั่งทรงปืน และเข้าทางประตูมหาโภคราช”
กับอีกตอนหนึ่ง เมื่อ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ เสด็จขึ้นครองราชย์ ใน ปีฉลู พ.ศ.๒๒๕๒ นั้น สมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน ก็เสด็จพระราชดำเนินเข้าพระราชวัง และเสด็จไปอยู่ ณ พระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ข้างท้ายสระ และมักจะประทับอยู่ที่นั่นเป็นนิจ จึงได้พระนามเป็นสามัญว่า “พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ”
จากการขุดแต่งและบูรณะพระที่นั่งบันยงก์รัตนาสน์ ได้พบ สิ่งก่อสร้าง ตามที่มีระบุไว้ คือ หินแกรนิต,หินชนวน,หินปูนปะการัง ริมทะเล ที่นำมาประกอบ ทำเขามอ ห้องสรง สระสนาน ภายในบริเวณ หลายหลัง แสดงให้เห็น ว่า วัสดุที่ยังเหลือเหล่านั้น เป็นของที่จีนอ๋องเฮงฉ่วน นำมาทูลเกล้าถวาย ปัจจุบัน หินเขามอบางส่วน พระยาโบราณราชธานินทร์เก็บไปก่อเป็นเขามออยู่ด้านหลังพลาพลาจตุรมุข พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จันทรเกษม พระนครศรีอยุธยา
เครดิตภาพ :google
เรื่อง เรียบเรียง จาก ๑.ม.ล.ชัยนิมิต นวรัตน,”พระบวรราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระปวเรนทราเมศ มหิศเรศรังสรรค์ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว “ บทที่ ๖ ตอนที่ ๒ บรรพบุรุษของเจ้าคุณจอมมารดาเอม,๒๕๕๖ 
๒.เรือนไทย > General Category > ประวัติศาสตร์ไทย > สายสกุลจีนของ เจ้าคุณจอมมารดาเอมในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ

ในรัชกาลต่อมา สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ (พระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์) ขึ้นครองสิริราชสมบัติพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยา หลวงสิริสมบัติ (อ๋องเฮงฉ่วน) มีความดีความชอบต่อแผ่นดิน คราวต้นรัชกาล ได้นำสมัครพรรคพวกไทยจีนกว่าพันคนเข้าช่วยปราบการจลาจลครั้งพวก ตั้วเฮีย คิดการกำเริบยกกำลังเข้าไปถึงท้องสนามหญ้าหน้าพระที่นั่งเย็นภายในพระราชวังหลวง ครั้งนั้นพวกจีนตั้วเฮียถูกฆ่าตายและจับเป็นได้หลายร้อยคน สอบสวนแล้วโปรดเกล้าฯให้นำพวกหัวหน้าไปประหารชีวิต ๕๓ คน พวกรอง ลงมาให้จำคุกไว้ ๑๖๔ คน ที่เหลือตาย ๗๐๐ คน ให้ตัดผมเปียออกเป็นไทย สักหน้าว่าไพร่หลวงจาม ส่งไปทำงานรักษาเรือรบทะเลที่ปากคลองตะเคียน เสร็จการแล้วทรงพระกรุณาเลื่อนหลวงศิริสมบัติ (อ๋องเฮงฉ่วน) ขึ้นเป็นที่ออกพระโชฎึกราชเศรษฐี เจ้ากรมท่าซ้าย ดูแลการค้ากับประเทศทางตะวันออก คู่กับกรมท่าขวาที่สังกัดออกพระจุฬาราชมนตรี ขุนนางแขก ซึ่งจะดูแลการค้ากับประเทศทางตะวันตก
พระราชพงศาวดาร กรุงสยาม กล่าวข้อความสอดคล้องกัน ว่า ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ “ลุศักราช ๑๐๙๕ ปีฉลู เบญจศก (พ.ศ.๒๒๗๖) ครั้น ณ เดือน ๑๐ แรม ๑๐ ค่ำ ผู้รักษากรุงเทพมหานคร ขึ้นไปกราบทูลว่า จีนไนไก้ประมาณ ๓๐๐ คนคิดกัน เพลาค่ำยกเข้าไปปล้นเอาพระราชวัง ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงชวนกันตีจีนแตกหนีไป ครั้น ตี ๑๑ ก็เสด็จกลับยังกรุง ให้สืบสาวจับได้จีนกบฏประมาณ ๒๐๐ เศษ ที่เป็นต้นเหตุ ๔๐ คน ให้ประหารชีวิตเสีย


ครั้นเจ้าพระยาพระคลังถึงแก่พิราลัย จึงทรงโปรดเกล้าฯให้ออกพระโชฎึกราชเศรษฐี (อ๋องเฮงฉ่วน) ขึ้นว่าที่เจ้าพระยาพระคลังคนใหม่แทน เป็นเสนาบดีจัตุสดมภ์สืบต่อไป ตามเอกสารเรียกราชทินนามนี้ว่า เจ้าพระยาโกษาธิบดี (จีน) แต่ชาวบ้านเรียกว่า “เจ้าคุณพระคลังจีน” เพราะท่านยังไว้ผมมวยตามแบบฉบับคนจีนเชื้อเจ้าโบราณ โดยที่สายสกุลของท่านคือ “แซ่อ๋อง” นั้น เดิมทีเป็นแซ่ของเชื้อพระวงศ์โจว สาขาหนึ่งที่แตกออกมา
สมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระนั้น ข้าหลวงฟูเกี้ยน รายงานต่อราชสำนักจีนว่า ไม้ที่กรุงศรีอยุธยาราคาถูกและพ่อค้าฟูเกี้ยนสามารถทำกำไรมหาศาลจากการเดินทางไปต่อเรือที่กรุงศรีอยุธยา และบรรทุกข้าวกลับมาขายในเรือเหล่านั้น และในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ก็มีหลักฐาน ว่า กิจการต่อเรือเจริญก้าวหน้ามาก พระองค์และชนชั้นปกครองเน้นความสำคัญของผลประโยชน์ที่ได้จากการค้า ชาวจีนได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นโดยทรงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าพระยาคลัง ที่เรียกว่า โกษาธิบดี(จีน) ท่านผู้นี้มีอิทธิพลในราชสำนักมากและมีความใกล้ชิดกับชุมชนชาวจีน
เจ้าพระยาพระคลังจีน (อ๋องเฮงฉ่วน) ตั้งบ้านเรือนอยู่บ้านถนนตาล หลังวัดพนัญเชิง มีภรรยาและบุตรธิดาหลายคน ทั้งภรรยาหลวงที่เมืองจีน และภรรยาคนไทย
เครดิตภาพ: วิกิมีเดีย,สุรเจตน์
เนื้อเรื่อง เรียบเรียงจาก ๑.ม.ล.ชัยนิมิต นวรัตน,”พระบวรราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระปวเรนทราเมศ มหิศเรศรังสรรค์ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว “ บทที่ ๖ ตอนที่ ๒ บรรพบุรุษของเจ้าคุณจอมมารดาเอม,๒๕๕๖
๒.ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๘๒


เจ้าสัวทั้งสี่มิได้รับราชการโดยตรงเช่นท่านบิดา แต่ปักหลักตั้งร้านฐานถิ่นอยู่ในกรุงศรีอยุธยา ทำมาค้าขายด้วยการเดินเรือสำเภาสินค้าตามถนัด ต่อมาในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวสุริยาศน์อัมรินทร์ มีข่าวว่า เมืองกำปอตและเมืองกำปงโสมในเขมรเกิดภาวะข้าวยากหมากแพง เจ้าสัวสี่พี่น้องจึงขอพระบรมราชานุญาต จัดเรือปักษ์ใต้ของหลวงนำข้าว นำเกลือจะไปขายที่นั่น เรือชนิดนี้ บางทีเรียกว่า เรือลำเลียงตาโต เป็นเรือขนาดเล็กกว่าเรือสำเภา กินน้ำตื่นกว่า สามารถใช้แจววิ่งเข้าไปตามลำน้ำได้ หรือ จะใช้ใบกางออกแล่นเลียบฝั่งไปในทะเลก็ได้
การนำเรือหลวงไปจัดการทำการค้าขายนั้น ตามธรรมเนียมจะได้รับพระราชทานแบ่งกำไรให้สองในสิบส่วน และยกเว้นภาษีจังกอบต่าง ๆ เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว ก็นำข้าวของลงบรรทุกในระวางเรือได้เต็ม ๓๒ ลำ บรรดาเจ้าสัวผู้พี่ก็มอบให้เจ๊สัวอ๋องไซ น้องชายคนเล็กคุมกองเรือบรรทุกข้าวไปเขมร
เครดิตภาพ: วิกิมีเดีย,สุรเจตน์
เนื้อเรื่อง เรียบเรียงจาก ๑.ม.ล.ชัยนิมิต นวรัตน,”พระบวรราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระปวเรนทราเมศ มหิศเรศรังสรรค์ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว “ บทที่ ๖ ตอนที่ ๒ บรรพบุรุษของเจ้าคุณจอมมารดาเอม,๒๕๕๖
๒.ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๘๒

ออกเดินทางแคล้วคลาดจากกองทัพพม่าข้าศึกที่ยกมาล้อมกรุงอย่างฉิวเฉียด เจ๊สัวอ๋องไซรอนแรมไปในทะเลหลายวัน เนื่องจากเรือหนัก เดินทางได้ช้ามากกว่าจะถึงเมืองตราด เมื่อแวะพักเรือ เพื่อหาซื้อเสบียงอาหารและน้ำจืดเพิ่มเติม จึงได้ข่าวไม่ดี ว่า กรุงศรีอยุธยาถูกกองทัพพม่าล้อมไว้อยู่ตั้งแต่ตนออกเดินทางมา ส่วนทางเมืองเขมรทั้งสองนั้นเล่า ก็เกิดการจลาจลอย่างหนัก คนจีนและญวนตั้งตนเป็นตั้วเฮีย คุมพลพรรคออกปล้นสดมภ์ผู้คนทั้งทางบกทางทะเลหาความปลอดภัยมิได้ จึงล่าถอยนำกองเรือมาตั้งหลักลอยลำอยู่หน้าเมืองจันทบุรี ขณะที่ยังคิดไม่ตกว่า จะกระทำการอย่างไรต่อไป จนกระทั่งได้ข่าวว่า กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าข้าศึกแล้ว และไม่นานเกินรอ พระยาตาก(สิน)ก็ยกพล ๕๐๐ มาตึ ยึดได้เมืองจันทบุรี
เจ๊สัวอ๋องไม่เห็นทางรอดอื่น จึงขึ้นจากเรือไปเฝ้าพระเจ้าตากสิน ทรงมีรับสั่งว่า เจ้าหนีเสือจากกรุงศรีมาปะจรเข้ที่ตราด แล้วหนีจรเข้ขึ้นต้นไม้มาปะรังแตนที่จันทบุรี แต่ข้าเป็นแตนที่ไม่ต่อยเจ้า ถ้าเจ้ามาเข้ากับข้า ข้าจะเลี้ยงดูเจ้าให้สบาย ข้าจะหาลาภยศใหญ่ให้เจ้าได้ในภายหน้า
เจ๊สัวอ๋องไซ่จึงถวายข้าวของและเรือทั้งหมดให้กับพระเจ้าตากสิน ซึ่งเมื่อได้รับเสบียงกรังกำลังบำรุงกองทัพถึงขนาดในขณะที่บ้านเมืองกำลังเกิดภาวะข้าวยากหมากแพงเช่นนี้แล้ว ทำให้พระเจ้าตากสินสามารถหากำลังพลเข้ามาสวามิภักดิ์ได้อีกมากมาย จนต้องต่อเรือขึ้นอีกหลายลำ เพื่อยกกองทัพกลับขึ้นไปกู้บ้านกู้เมือง ต่อรบกับพวกพม่าจนแตกพ่ายที่ธนบุรี นนทบุรี และโพธิ์สามต้น จนกระทั่งยึดกรุงศรีอยุธยาคืนได้ในที่สุด
ในพระราชพงศาวดารฯ กล่าวถึงเหตุการณ์ในช่วงนี้ ว่า “ จุลศักราช ๑๑๒๙ ปีกุน นพศก..ฝ่ายวาณิช พ่อค้า นายสำเภา ทั้งปวง ก็ยังมิได้อ่อนน้อม ครั้งเพลารุ่งเช้า จึ่งสั่งนายทัพนายกองให้ยกเข้าตีสำเภา อยู่ประมาณกึ่งวัน ข้าศึกลูกค้าชาวสำเภาต้านทานมิได้ ก็อัปราชัย พ่ายแพ้ ได้ทรัพย์สิ่งของ หิรัญ สุวรรณวัตถาลังกาภรณ์เป็นอันมาก
เครดิตภาพ: วิกิมีเดีย,สุรเจตน์
เนื้อเรื่อง เรียบเรียงจาก ๑.ม.ล.ชัยนิมิต นวรัตน,”พระบวรราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระปวเรนทราเมศ มหิศเรศรังสรรค์ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว “ บทที่ ๖ ตอนที่ ๒ บรรพบุรุษของเจ้าคุณจอมมารดาเอม,๒๕๕๖
๒.ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๘๒

เจ้าสัวอ๋องไซมีความดีความชอบมาก จึงโปรดเกล้าฯให้เป็นที่พระยารัตนราชเศรษฐี รับราชการว่าที่กรมท่าซ้ายและเป็นเจ้าท่าเปิดระวางเรือสำเภาที่เข้าเทียบท่ากรุงธนบุรีทุกลำแต่ผู้เดียว กับทั้งได้พระราชทานที่ดิน ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามกับเมืองธนบุรีฝั่งตะวันออก
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปราบดาภิเษก ขึ้นเสวยราชย์แล้ว โปรดให้พระยาธรรมาธิกรณ์กับพระยาวิจิตรนาวี เป็นแม่กองคุมช่างและไพร่ไปวัดที่กะสร้างพระนครใหม่ข้างฝั่งตะวันออก ในบริเวณที่เป็นที่ซึ่งพระยาราชาเศรษฐีและพวกจีนอาศัยตั้งบ้านเรือนอยู่แต่ก่อน
แล้วโปรดให้ พระยาราชาเศรษฐีและพวกจีนย้ายไปตั้งบ้านเรือนอยู่ ณ ที่สวน ตั้งแต่คลองวัดสามปลื้ม( วัดจักรวรรดิ์ราชาวาส)ไปจนถึงคลองวัดสามเพ็ง(วัดปทุมคงคา) ให้สร้างบ้านเรือนอยู่เป็นหมู่ใหญ่ในบริเวณนั้น ซึ่งภายหลังต่อมาได้กลายเป็นศาลเจ้าปุนเถ้ากงไปในทุกวันนี้ บุตรหลานของพระยารัตนราชเศรษฐี(อ๋องไซ)สามารถปักหลักค้าขายในกรุงธนบุรีและบางกอกสืบต่อกันอย่างมั่นคง
เครดิตภาพ: วิกิมีเดีย
เนื้อเรื่อง เรียบเรียงจาก
๑.ม.ล.ชัยนิมิต นวรัตน,”พระบวรราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระปวเรนทราเมศ มหิศเรศรังสรรค์ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว “ บทที่ ๖ ตอนที่ ๒ บรรพบุรุษของเจ้าคุณจอมมารดาเอม,๒๕๕๖
๒.ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๕
๓.พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑

เจ๊สัวบุญมาก มีบุตรธิดา หลายคน เฉพาะที่ทราบมีดังนี้
๑.เป็นชายชื่อ อ๋องฮี้ ได้เป็นขุนท่องวารีที่ปั้นสือ นำทูตานุทูตไทยไปเจริญทางพระราชไมตรีกับพระเจ้ากรุงจีนที่กรุงปักกิ่ง ต่อมาได้กราบถวายบังคมลากลับไปทำมาค้าขายที่เมืองจีนตามภูมิลำเนาของต้นตระกูล
๒.เป็นหญิงชื่อท่านเพ็ง ท่านผู้นี้มีศรัทธาสร้างวัดสวนพลู บางรัก
๓. เป็นหญิง ชื่อ ท่านพิมพ์ แต่งงานกับพระอภัยสุรินทร์ (จุ้ย)
๔ .เป็นชาย ชื่อ เจ๊สัวอ๋องป้า เป็นหนึ่งในจำนวนผู้ร่วมสร้างวัดสามจีน ปากคลองบางลำพูบน
๕ เป็นชายชื่ออ๋องบุญมีหรือเจ๊สัวบุญมี ท่านผู้นี้มีมารดาชื่อบุญเลี้ยง บุตรีเจ๊สัวบุญเกิด แซ่โหงว
มารดาของท่านบุญเลี้ยงคงเป็นคนไทยตัวจึงชื่อแบบไทย และตั้งชื่อลูกเป็นไทย ไม่ได้ให้ไว้ผมมวยแบบจีน แต่เป็นหนึ่งในจำนวนผู้ร่วมสร้างวัดสามจีน ปากคลองบางลำพูบนด้วย
เจ๊สัวบุญมี เป็นบิดาท่านเจ้าคุณจอมมารดาเอม
๖ เป็นชายชื่ออ๋องฟัก ท่านผู้นี้ก็น่าจะมีมารดาเดียวกับเจ๊สัวบุญมี ไว้ผมทรงมหาดไทย รับราชการหลายตำแหน่ง เริ่มจากเป็นนายอากรกรมท่าและได้ไปเป็นพระยาสวรรคโลกถือศักดิดา๓๐๐๐ไร่ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ
ภายหลังการเฉลิมพระอิสริยยศขึ้นเป็น กษัตริย์วังหน้า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ทรงขอพระบรมราชานุญาต โอนพระยาสวรรคโลกจากวังหลวงมาเป็นที่พระยาศิริไอยสวรรค์ จางวางกรมพระคลังมหาสมบัติในพระบวรราชวัง
เครดิตภาพ: วิกิมีเดีย
เนื้อเรื่อง เรียบเรียงจาก ๑.ม.ล.ชัยนิมิต นวรัตน,”พระบวรราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระปวเรนทราเมศ มหิศเรศรังสรรค์ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว “ บทที่ ๖ ตอนที่ ๒ บรรพบุรุษของเจ้าคุณจอมมารดาเอม,๒๕๕๖
๒.เรือนไทย. วิชาการ.คอม

บุตรเจ้าพระยาพระคลัง ( อ๋องเฮงฉ่วน) ที่เกิดที่เมืองกวางหนำในเมืองจีน กับภรรยาหลวง มี ๖ คน บุตรชาย ๔ คน ได้ติดตามบิดามาช่วยทำมาค้าขายอยู่กรุงศรีอยุธยา มีนามว่า เจ๊สัวไซ่ฮู่ เจ๊สัวไล่ฮู่ เจ๊สัวอ๋องซี เจ๊สัวอ๋องไซ่ ส่วนบุตรสาวคนสุดท้อง ชื่อเง็กซิว บิดาพามาอยู่กรุงศรีอยุธยา พอเป็นสาวได้ถวายตัวเป็นเจ้าจอมในเจ้าฟ้าอุทุมพร กรมพระราชวังบวร มีพระองค์เจ้าหญิงพระองค์หนึ่ง ประสูติแด่เจ้าจอมมารดาเง็กซิว ชื่อ พระองค์เจ้านพรัตนรัศมี
เครดิตภาพ: วิกิมีเดีย,สุรเจตน์
เนื้อเรื่อง เรียบเรียงจาก ๑.ม.ล.ชัยนิมิต นวรัตน,”พระบวรราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระปวเรนทราเมศ มหิศเรศรังสรรค์ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว “ บทที่ ๖ ตอนที่ ๒ บรรพบุรุษของเจ้าคุณจอมมารดาเอม,๒๕๕๖
๒.ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๘๒

พระยารัตนเศรษฐี (เจ๊สัวอ๋องไซ) มีภรรยาพระราชทานคนหนึ่ง เคยเป็นนางห้ามของพระเจ้าตากสิน นามว่า หม่อมปราง (บ้างว่า หม่อมบาง) เป็นบุตรีพระยาราชเศรษฐี (องตือ ดึก ) เจ้าญวนเมืองบันทายมาศ มีบุตรธิดาด้วยกัน ๖ คน ดังนี้
๑.เป็นหญิง ชื่อ สวาสดิ์ ถวายตัวเป็นเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็น เจ้าพระยาจักรี
๒.เป็นหญิง ชื่อ พริ้ง ถวายตัวเป็นเจ้าจอมในพระราชวังบวรภิมุข ตั้งแต่เป็นเจ้าพระยาสุริยอภัย ผู้สำเร็จราชการเมืองนครราชสีมา
๓.เป็นชาย ชื่อ อ๋องเส็ง รับราชการได้เป็นพระราไชยในรัชกาลที่ ๒
๔.เป็นชาย ชื่อ อ๋องหลง ค้าขายเป็นเจ้าสัว ชาวบ้านเรียกเจ๊สัวอ๋องหลง เคยเป็นอุปทูตออกไปเมืองปักกิ้ง ด้วย
๕.เป็นหญิง ชื่อ บุญนาก เป็นภรรยาพระศรีราชอากร (เจ๊สัวเม่า)
๖. เป็นชาย ชื่อชื่อ อ๋องบุญมาก ค้าขายเป็นเจ้าสัว เจ๊สัวบุญมาก ร่วมกับบุตรอีก ๒ คน คือ อ๋องฮี้ (ขุนท่องวารีที่ปั้นสือ) บุตรชายคนโต และ บุตรชายคนที่ ๔ .เป็นชาย ชื่อ เจ๊สัวอ๋องป้า เป็นหนึ่งในจำนวนผู้ร่วมสร้างวัดสามจีน ปากคลองบางลำพูบน วัดสามจีน นี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามใหม่ ว่า วัดสังเวศวิศยารามวรวิหาร
เครดิตภาพ: วิกิมีเดีย
เนื้อเรื่อง เรียบเรียงจาก ๑.ม.ล.ชัยนิมิต นวรัตน,”พระบวรราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระปวเรนทราเมศ มหิศเรศรังสรรค์ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว “ บทที่ ๖ ตอนที่ ๒ บรรพบุรุษของเจ้าคุณจอมมารดาเอม,๒๕๕๖


พระยาศิริไอยสวรรค์ (ฟัก) เมื่อครั้งยังเป็นนายอากรฟัก ข้าราชการกรมท่าในสมัยรัชกาลที่ ๓ ได้มีศรัทธาบูรณะปฏิสังขรณ์ วัดเก่า สมัยอยุธยาขึ้นใหม่ แล้วใช้ชื่อว่า “วัดอากรฟัก” เมื่อได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์แล้ว จึงได้เปลี่ยนชื่อวัดตามบรรดาศักดิ์ นั้น เป็น “วัดพระยาศิริไอยสวรรค์”
เครดิตภาพ: วิกิมีเดีย
เนื้อเรื่อง เรียบเรียงจาก ๑.ม.ล.ชัยนิมิต นวรัตน,”พระบวรราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระปวเรนทราเมศ มหิศเรศรังสรรค์ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว “ บทที่ ๖ ตอนที่ ๒ บรรพบุรุษของเจ้าคุณจอมมารดาเอม,๒๕๕๖
๒.เรือนไทย. วิชาการ.คอม

อธิบายตามแผนที่...ดอกจัน ล่างสุดคือบริเวณบ้านเดิมของพระยาศิริไอศวรรย์ (ฟัก) อยู่ปากคลองบางกอกน้อย มีแพผูกสำหรับขายของ (หมากพลู) ให้ข้าราชการที่จะข้ามไปทำงานที่พระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) แม่เล่าให้ฟังว่า คุณย่าของแม่เล่าให้ฟังว่าเงินที่ได้จากการขายของ จะเก็บซ่อนไว้ในกระบอกไม้ไผ่ที่พูกเป็นลูกบวบใต้เรือนแพ บริเวณบ้าน ปากคลองบางกอกน้อยหลังนี้ เรียกกันโดยทั่วไปในหมู่ญาติ ว่า "บ้านล่าง"
ดอกจันที่สองตรงกลาง แม่เล่าให้ฟังว่า ในช่วงสมัยรัชกาลที่ ๕ บ้านเมืองเกิดวิกฤติ ต้องการใช้เงินจำนวนมาก ในสมัยนั้น ได้นำเงินที่เก็บซ่อนไว้ในไม้ไผ่แพลูกบวบ ออกไปถวายพระเจ้าอยู่หัว เพื่อร่วมแก้ไขวิกฤติการณ์อันเลวร้ายของบ้านเมืองในขณะนั้น จึงได้รับ พระราชทาน ที่ดินแปลงนี้ ให้เป็นการตอบแทน ญาติ ๆ ทางฝ่ายแม่ เรียกกันว่า "บ้านสวน"
ดอกจัน ที่ ๓ ที่อยู่บนสุด คือ วัดพระยาศิริไอศวรรย์ ที่ พระยาศิริไอศวรรย์ (ฟัก) สร้างขึ้นใช้เป็นวัดประจำตระกูล ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๓

เป็นไปได้หรือไม่ว่า เจดีย์ที่เรียงกันสามองค์ หน้าวัดพระยาศิริไอศวรรย์ ทั้ง ๓ องค์ นั้น เป็นเจดีย์ที่บรรจุอัฐิ ของ ๓ ท่าน 
๑.พระยาศิริไอยสวรรค์ (ฟัก) รัชกาลที่ ๔
๒.พระยาศิริไอศวรรย์ (นุต) รัชกาลที่ ๔ - ๕ 
๓.พระยาศิริไอศวรรย์ (แขก) พ.ศ.๒๔๒๙ รัชกาลที่ ๕

ดอกจัน ที่ ๒ (กลาง) คือพื้นที่พระราชทาน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ แต่ที่เห็นแผนที่ในโฉนดเป็นเพียงครึ่งของที่พระราชทานทั้งหมด
พระยาศิริไอศวรรค์ ( ฟัก ) มีบุตรธิดา ๔ คน เป็นชาย ๓ คือ นุต ทองอิน และ รง คนสุดท้องเป็นหญิง ชื่อ เอม บุตรชายคนโต ได้รับราชการเจริญเติบโตขึ้นมาตามลำดับ จน เป็นพระยาศิริไอยศวรรค์ (นุต ) ตามฐานันดรศักดิ์ของบิดา บุตรชายคนที่ ๒ ได้รับราชการเจริญเติบโต จนเป็นพระยาวิสูตรโกษา (ทองอิน) ส่วน นายรง นั้น ไม่ปรากฏ อาชีพและประวัติที่แน่ชัด แต่มาปรากฏ ชื่อ ในรุ่นบุตรชาย ที่ได้รับราชการ สืบมาจน ได้พระราชทานฐานันดรศักดิ์เป็น พระศิริไอศวรรค์ (พร) ธิดาคนสุดท้องที่ชื่อ เอม นั้นมีบุญวาสนามากกว่าพี่ ๆ ทั้งสาม โดยได้เป็น ถึง ท่านเจ้าคุณจอมมารดาเอม พระชายาองค์แรกของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ครั้งดำรงพระยศที่เจ้าฟ้าจุฑามณี หรือที่บุคคลทั่วไปเรียกขานพระนามว่าเจ้าฟ้าน้อย

แม่เล่าให้ฟัง ว่า ผู้ชายตระกูลนี้ สืบตำแหน่งเป็นพระยาพานทอง ถึง ๓ ชั่วคน และ รับราชการอยู่พระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ทั้งสิ้น คือ 
๑.พระยาศิริไอยสวรรค์ (ฟัก) รัชกาลที่ ๔
๒.พระยาศิริไอศวรรย์ (นุต) รัชกาลที่ ๔ - ๕ 
๓.พระยาศิริไอศวรรย์ (แขก) พ.ศ.๒๔๒๙ รัชกาลที่ ๕ (จดหมายเหตุพระราชพิธีลงสรง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ)
ภาพประกอบ จาก Google

















































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น