Best Thai History

Amps

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

กัมโพชธานี พระราชวังบุเรงนอง

 "บันทึกหลังเที่ยว ย่างกุ้ง,หงสาวดี,พุกาม" 

๑๖ - ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖

ตอน : “กัมโพชธานี”พระราชวังบุเรงนอง 

ในรัชกาลของ "พระเจ้าบุเรงนองกะยอดินนรธา" 
หรือ "พระเจ้าหงษานีพัตร"  
ได้ทรงสร้างพระราชวังของพระองค์ขึ้นใหม่ 
มีนามว่า “กัมโพชธานี”
เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ 
ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของพระมหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอ (พระธาตุมุเตา) 
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๑๐๙ 
ซึ่งเป็นปีที่ ๑๕ ของการครองราชย์ของพระองค์  
พระราชวังใหญ่โตแห่งนี้ มีประตูทางเข้าออกถึง ๑๐  ประตู 
โดยเกณฑ์ข้าทาสจากเมืองขึ้นต่าง ๆ มาสร้าง 
สองเมืองในจำนวนนั้น คือเมืองเชียงใหม่ และอยุธยา รวมอยู่ด้วย
ต่อมา ในสมัยพระเจ้านันทบุเรง หลังศึกยุทธหัตถีแล้ว 
นัดจินหน่อง โอรสของพระเจ้าตองอู ซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้าบุเรงนอง 
ได้ผูกมิตรกับเมืองยะไข่ และอยุธยาเพื่อเข้าตีหงสาวดี 
แต่มหาเถรเสียมเพรียมได้ยุยงให้ตองอูไม่เข้ากับอยุธยา 
ดังนั้นเมื่อทัพตองอูมาถึงหงสาวดีก่อน จึงได้เข้าตีและล้อมเมืองเอาไว้ 
“ศักราช ๙๕๗ มะแมศก (พ.ศ. ๒๑๓๘) 
วันอาทิตย์ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือนธันวาคม เพลารุ่งแล้ว ๓ นาฬิกา ๙ บาท 
(สมเด็จพระนเรศวรมหาราช) เสด็จยพุหบาตราไปเมืองหงสา” 
(หลวงประเสริฐ) 
ส่วนเมืองหงสาวดีทราบข่าวว่าสมเด็จพระนเรศวร 
ปราบทหารตามแนวชายแดนสำเร็จแล้ว 
จึงเปิดประตูเมืองรับทัพตองอู 
พระเจ้านันทบุเรง ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของนัดจินหน่อง 
ได้มอบสิทธิ์ขาดในการบัญชาการทัพแก่นัดจินหน่อง 
นัตจินหน่องได้เชิญพระเจ้านันทบุเรงให้ไปประทับ ณ ตองอู 
เพื่อเตรียมรับทัพสมเด็จพระนเรศวร  
และในขณะเดียวกัน 
เมืองตองอูได้กวาดต้อนพลเรือนและทรัพย์สิน
จากเมืองหงสาวดีไปยังเมืองตองอู 
ทิ้งเมืองให้ยะไข่ปล้นและเผาเมือง 
ครั้นสมเด็จพระนเรศวรยาตราทัพพระนครศรีอยุธยา มาถึงหงสาวดี 
จึงเหลือแต่เมืองที่ถูกเผาแล้ว 
อย่างไรก็ตาม 
เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ถึงเมืองหงสาวดี 
แม้เมืองจะถูกพวกยะไข่ปล้นและเผาแล้ว ก็ตาม 
พระองค์ก็ยังคงเสด็จไปทำการสักการ
พระมหาธาตุชเวมอดอ (พระธาตุมุเตา)  นี้ด้วย 
ซึ่งในปัจจุบัน ก็ยังมีจุดที่เชื่อว่าพระองค์ทำการสักการะปรากฏอยู่ 
หลังจาก นั้น สมเด็จพระนเรศวรมหาราช 
ต้องเคลื่อนทัพต่อขึ้นไปตีเมืองตองอู ต่อ 
แต่กำลังไพร่พลของพระองค์อ่อนล้า และขัดสนเสบียงอาหาร 
จึงต้องเสด็จกลับกรุงศรีอยุธยา 
พระราชวังแห่งนี้ได้ถูกทิ้งให้รกร้างมาเกือบ ๔๐๐ ปี 
บ้านเมืองเจริญขึ้น
ทำให้พระราชวังแห่งนี้จมหายไปกับอดีต  
จนมองไม่เห็นซาก 
ต่อมาจนกระทั่งในปี พ.ศ.๒๕๓๓ 
รัฐบาลพม่าจึงได้คิดรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ 
โดยให้นักโบราณคดีและผู้เชี่ยวชาญต่างๆ 
เริ่มขุดค้นสถานที่แห่งนี้
จึงได้พบซากของพระราชวังที่เหลือ
เพียงแค่ตอไม้ที่โผล่พ้นดินออกมาเท่านั้น 
และได้มีการเร่งสร้างพระราชวังจำลององค์ใหม่ขึ้นมา 
ฉาบด้วยสีทองทั้งหลัง
เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแหล่งหนึ่งของเมืองหงสาวดี












ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น