บันทึกความทรงจำ ๑-๒ เมษายน ๒๕๖๕ (ต่อ)
ตอน : วัดป่าพระเจ้า สุพรรณบุรี
วัดป่าพระเจ้า บ้านป่าพระเจ้า
ตำบลปลายนา อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี
วัดนี้เป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย
ลักษณะพระอุโบสถหลังเก่า
เป็นอาคารขนาดเล็ก ทรงเรือสำเภา เพียง ๓ -๔ ห้อง
ถ้ามีพาไลด้านหน้า
แต่หลังจากการบูรณะในครั้งหลังสุด
ได้ตัดส่วนนี้ออกไป คงเหลือจำเพาะ
อาคารส่วนที่เป็นห้องที่จะใช้ทำสังฆกรรม
จึงดูผิดรูปแบบที่ควรจะเป็น
ภายในพระอุโบสถ มีฐานชุกชี
ประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิราบ ปางมารวิชัย
บนฐานสูงมีผ้าทิพย์ห้อยด้านหน้า
บนผนังทั้งสี่ด้าน มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง
ด้านหลังเป็นภาพไตรภูมิ
ตอนพระพุทธองค์เสด็จลงจากดาวดึงส์ เปิดให้เห็นโลกทั้ง ๓ คือ
สวรรค์ภูมิ มนุษย์ภูมิ และนรกภูมิ
ด้านหน้าเขียนภาพมารพจญ
ที่ผนังด้านข้างชั้นบนเหนือของหน้าต่าง
เขียนภาพอดีตพระพุทธเจ้า คั้นด้วยแจกันดอกบัว
ระดับต่ำลงมาถึงหน้าต่างเขียนเป็นภาพพุทธประวัติ
โดยเริ่มจากผนังด้านทิศตะวันออก/เหนือ
เรียงลำดับไปจนปางปรินิพพานที่ผนังด้านทิศตะวันออก/ใต้
ตามประวัติกล่าวว่า หลวงพ่อเถื่อน เป็นผู้สร้างวัดป่าพระเจ้า
ต่อมาเกิดภัยแล้ง
ประชาชนพากันอพยพย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น
วัดป่าพระเจ้าก็ถูกทอดทิ้งให้รกร้างไปด้วย
หลวงพ่อเถื่อนมรณภาพ ประมาณ ปี พ.ศ.๒๔๔๓ - พ.ศ.๒๔๔๖
( ปีที่ ๓๓ - ๓๖ ในรัชกาลที่ ๔)
ต่อมา หลวงพ่อชิตและชาวบ้าน
ได้กลับมาบูรณะวัดป่าพระเจ้า ขึ้นอีกครั้ง
ชาวบ้านจึงเรียกพระพุทธรูปในพระอุโบสถหลังนี้
ตามนามของ หลวงพ่อเถื่อน ที่เป็นผู้สร้างในครั้งแรก
จากภาพจิตรกรรมฝาผนัง
ภาพที่เขียน มีทั้งตึกแบบยุโรปและตึกแบบจีน บางภาพมีส่วนลึก
มีภาพที่สามารถนำมากำหนดอายุการเขียนได้ คือ
ภาพ "ธงช้างบนผืนผ้าสีแดง"
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระราชดำริว่า “ธงสีแดง”
เป็นธงที่ใช้กับเรือของสามัญชนชาวสยาม
ซ้ำกับประเทศอื่น
ยากต่อการแยกแยะ สมควรยกเลิกเสีย
และหันมาใช้ธงอย่าง”เรือหลวง”
เป็นธงชาติสยามสำหรับเรือสามัญชนด้วย
แต่โปรดเกล้าฯ ให้เอารูปวงจักรสีขาวออกเสีย
เพราะเป็นของสูง ซึ่งถือเป็นเครื่องหมาย
เฉพาะของพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น
โดยให้คงไว้แต่รูปช้างเผือกอยู่กลางธงแดง
แต่ทว่าให้ปรับขนาดช้างเผือกให้ใหญ่ขึ้น
กับ "ภาพเรือกลไฟใบจักรด้านข้าง"
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อครั้งยังทรงพระยศเป็น เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์
ทรงเริ่มทำตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๓
ประกอบเครื่องจักร และใช้แล่นในแม่น้ำ
ได้เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๘ (ค.ศ. ๑๘๕๕)
การสร้างเรือกลไฟใบจักรข้าง นี้
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า
“สยามอรสุมพล”
จากภาพประกอบจิตรกรรมฝาผนัง ๒ ภาพนี้
ทำให้อนุมานได้ว่า
พระอุโบสถหลังนี้
สร้างขึ้น สมัยปลายรัชกาลที่ ๓ ถึง สมัยต้นรัชกาลที่ ๔
( พ.ศ.๒๓๘๐ - พ.ศ.๒๔๐๐ )
พระอุโบสถหลังเก่า วัดป่าพระเจ้า
อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี
ภายในพระอุโบสถหลังเก่า วัดป่าพระเจ้า
อ.ศรีประจันต์จ.สุพรรณบุรี
พระประธาน ( หลวงพ่อเถื่อน) พระอุโบสถหลังเก่า
วัดป่าพระเจ้า อ.ศรีประจันต์จ.สุพรรณบุรี
"ปางพจญมาร" พระอุโบสถหลังเก่า วัดป่าพระเจ้า
อ.ศรีประจันต์จ.สุพรรณบุรี
"ปางประสูติ" พระอุโบสถหลังเก่า วัดป่าพระเจ้า
อ.ศรีประจันต์จ.สุพรรณบุรี
ภาพจิตรกรรม รูปอาคารแบบต่าง ๆ พระอุโบสถหลังเก่า
วัดป่าพระเจ้า อ.ศรีประจันต์จ.สุพรรณบุรี
"ปางโปรดชฎิล ๓ พี่น้อง" พระอุโบสถหลังเก่า
วัดป่าพระเจ้า อ.ศรีประจันต์จ.สุพรรณบุรี
ป้อมทรงโดม พระอุโบสถหลังเก่า
วัดป่าพระเจ้า อ.ศรีประจันต์จ.สุพรรณบุรี
"ปางเสด็จออกปางมหาภิเนษกรมณ์ " มีธงช้างบนพื้นแดง
พระอุโบสถหลังเก่า
วัดป่าพระเจ้า อ.ศรีประจันต์จ.สุพรรณบุรี
ธงช้างบนพื้นแดง เริ่มใช้สมัยรัชกาลที่ ๔
"เรือในท้องน้ำ" ภาพจิตรกรรมในพระอุโบสถหลังเก่า
วัดป่าพระเจ้า อ.ศรีประจันต์จ.สุพรรณบุรี
นักประวัติศาสตร์ กับภาพจิตรกรรมฝาผนัง
ในพระอุโบสถหลังเก่า
วัดป่าพระเจ้า อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี
ภาพจำลอง "เรือสยามอรสุมพล"
ที่ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ทรงคิดสร้างเรือกลไฟขึ้นเป็นครั้งแรก โดย ทรงวางแผนการต่อเรือร่วมกับ Rev. J.H. Chandler สร้างเรือขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรไอน้ำ ที่ต่อมาเรียกว่า "เรือกลไฟ" หรือ "เรือไฟ" ขึ้นในปี พ.ศ. ๒๓๙๐ (ค.ศ. ๑๘๔๗) ตรงกับ ปีที่ ๒๔ ในรัชกาลที่ ๓
สร้างนานถึง ๘ ปีกว่า จึงเสร็จ
ขึ้นระวางประจำการเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๘ (ค.ศ. ๑๘๕๕)
รูปเรือ ในวงแดง คือ เรือสยาอรสุมพล เรือกลไฟต่อเอง ลำแรก ในสยาม ภาพจิตรกรรมในพระอุโบสถหลังเก่า
วัดป่าพระเจ้า อ.ศรีประจันต์จ.สุพรรณบุรี
ภาพจิตรกรรมในพระอุโบสถหลังเก่า
วัดป่าพระเจ้า อ.ศรีประจันต์จ.สุพรรณบุรี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น