วัดอินทาราม อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ เป็นโบราณสถานในสมัยใดกันแน่
วัดอินทาราม อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์
วัดอินทาราม ชาวบ้านเรียก “วัดใน”
ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
ตามประวัติ สันนิษฐานว่า สร้างมาตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2123
โดยมีเรื่องเล่าว่า สร้างโดยชาวมอญ
เพราะเคยปรากฏมี เสาหงส์อยู่ทางด้านหน้า
แต่จากการสันนิษฐานของกรมศิลปากร ว่า
อาจสร้างขึ้นในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา หรือกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
จากหลักฐาน โบสถ์เก่า ที่ยังปรากฏอยู่
คือ อาคารพระอุโบสถ และเจดีย์ขนาดใหญ่ ด้านหลัง ๑องค์
ไม่รวมเจดีย์บรรจุอัฐิ องค์อื่น ๆ ที่สร้างขึ้นในยุคหลัง
พระอุโบสถ เป็นอาคารขนาด ๔ ห้อง
มีบันไดทางขึ้น ทางด้านข้างทั้งสี่ด้าน
มีประตูทางเข้าหน้าหลัง ด้านละ ๑ ประตู
หน้าต่างข้างละ ๓ ช่อง และทึบในส่วนที่เป็นห้องพระประธาน
หันหน้าโบสถ์ไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา(ทิศตะวันตก)
หลังคาลดชั้นเป็นมุขหน้าหลัง
ช่อฟ้าทำเป็นรูปนาค
หน้าบันไม้ด้านหน้าแกะสลักไม้เป็นลายกนกนกคาบช่อหางโต
ส่วนด้านหลังแกะสลักไม้เป็นลายกนกก้านขดเครือเถาว์ ช่อหางโต และแทรกด้วยตัวกระรอก
ภายในโบสถ์ไม่เหลือร่องรอยของฐานชุกชี
ส่วนพระพุทธรูปประธาน ได้เคลื่อนย้ายไปประดิษฐานที่วิหารน้อย แล้ว
ด้านหลังพระประธาน มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง
รูป พระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิราบบนปัทมอาสน์ ปางมารวิชัย
มีประภามณฑลสีฟ้าอยู่ทางด้านหลัง
มีองค์ประกอบเหมือนพระอินทร์กับพระพรหม พนมหัตถ์อยู่ ๒ ข้าง
นำบรรดาเทพประนมมีประภามณฑล ต่างสีกัน
เรียงเป็นแนวหันหน้าไปทางพระพุทธรูป
แต่ละองค์ขั้นด้วยตาลปัตรทรงพุ่มข้าวบิณฑ์
ภาพเทพชุมนุมเขียนเพียงชั้นเดียวด้าน
ส่วนด้านล่างที่น่าจะเป็นภาพพุทธประวัติ ยังไม่ได้เริ่มเขียน
ดูจากฝีมือการเขียนแล้ว
จัดว่าเป็นช่างมีฝีมือไม่ได้เป็นช่างแบบชาวบ้านทั่ว ๆ ไป
โบสถ์เก่าหลังนี้ จึงอาจยังไม่เสร็จสมบูรณ์
เพราะต่อมา ได้มีการเขียนภาพ การปลงอสุภะกรรมฐาน
เป็นฝีมือช่างเขียนคนละคนกับภาพเทพชุมชุม
เจดีย์ใหญ่ด้านหลังโบสถ์หลังเก่า ซึ่งน่าจะเป็นเจดีย์ประธานของวัด
มีลักษณะเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง
ฐานชั้นโต๊ะเท้าสิงห์ชั้นล่าง ใต้ท้องโต๊ะ มีลายเครือเถาพันธ์พฤกษา
จากการประมวลหลักฐานทั้งหมดนำมาพิจารณา
อายุของโบสถ์เก่า วัดอินทาราม อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ หลังนี้แล้ว
๑.ไม่ใช่ศิลปะแบบมอญ หรือมอญสร้าง
๒.มีอายุอย่างเก่า ไม่เกินสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ และ
๓.อาจมีการซ่อมบูรณปฏิสังขรณ์ ในราวสมัยรัชกาลที่ ๕ ลงมาอีกครั้ง
จากนั้น ก็ถูกปล่อยทิ้งให้รกร้างมาจนถึงสมัยปัจจุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น