บำเหน็จข้าราชการ ทหารพลเรือน ในราชการสงครามยุทธหัตถี พ.ศ.๒๑๓๕
จุลศักราชได้ ๙๕๔ ปีมะโรง ( พ.ศ.๒๑๓๕ )
สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้า และ สมเด็จพระเอกาทศรถ
ได้กระทำยุทธหัตถี ชนช้าง
ด้วยพระมหาอุปราชา แล มังจาชะโร มีชัยชำนะแล้ว
แม่ทัพนายกองทั้งหลายตามเสด็จมาทัน
ช่วยกันทั้งสองพระองค์จากสนามรบได้
หลังสงครามครั้งนั้น
ได้ปรากฎหลักฐาน ในหนังสือกฎหมายตราสามดวง
ตรากฎหมาย พระไอยการกระบดศึก
ปีมะเส็งนักษัตร จุลศักราช ได้ ๙๕๕ ( พ.ศ.๒๑๓๖) ความว่า
พระบาทสมเด็จพระเอกาทธรฐ อิศวรบรมนารถบรมบพิตรพระพุทธิเจ้าอยู่หัว เสด็จออกพระที่นั่งมงกุฎพิมานสถานภิมุขไพชนมหาปราสาท
มีพระราชโองการมาณบันทูลสุรสีหนาท
ดำรัสสั่งแก่พญาศรีธรรมา ว่า
พระ หลวง ขุน หมื่น ข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายทหารและพลเรือน
ที่เกณฑ์เข้าพระกระบวนทัพ
ได้รบพุ่งด้วยสมเด็จฯ เจ้าฟ้านเรศเชษฐาธิบดี
มีชัยชำนะแก่มหาอุปราชา
หน่อพระเจ้าไชยทศทิศเมืองหงสาวดี นั้น
ฝ่ายทหาร พลเรือน ล้มตายในการณรงค์สงครามเป็นอันมาก
แล รอดชีวิตเข้ามาได้ ก็เป็นอันมาก นั้น
ทรงพระกรุณาพระราชทานปูนบำเหน็จ
แลซึ่งขุนหมื่นนายอากร ภาษี แล นายหมวด ข้าส่วย
ขึ้น ณ พระคลังหลวง แลส่วยสาอากรติดค้าง นั้น
เข้าการณรงค์รบพุ่งล้มตายในที่รบเป็นอันมาก
จึงทรงพระกรุณาตรัสประกาศว่า
มันทำการณรงค์สงครามมีบำเหน็จความชอบอยู่นั้น
ถ้าแลหนี้สิน ส่วยสาอากรขึ้นแก่พระคลังหลวง
ติดค้างอยู่มากน้อยเท่าใด ให้ยกไว้
มีลูกหลานให้รับราชการแทนเลี้ยงไว้สืบไป
ถ้าแลขุนหมื่นนายอากร ภาษี ข้าสวย ซึ่งขึ้นพระคลัง ติดค้างอยู่
ก็ให้ยกเป็นบำเหน็จผู้ตายในการณรงค์ผู้เป็นเจ้าแล้ว
อย่าให้บุตรภรรยาใช้หนี้เลย
ถ้าแลมีพี่น้องลูกหลานให้เลี้ยงเป็นข้าเฝ้า
แลเลี้ยงไว้ในที่ทหารใช้ราชการสืบไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น