เรียนไปเที่ยวไป : ตอน : สังคมกับความงามทางศิลปกรรม
ตัดมาจากบทความ ที่เขียนขึ้นเมื่อ
วันพฤหัสบดีที่ ๘ พฤษภาคม ร.ศ.๑๘๘ ( พ.ศ.๒๕๑๒ )
แม่น้ำเป็นประดุจสายเลือดของมนุษย์ แหล่งชุมชนใหญ่ ๆ มักจะตั้งอยู่ใกล้บริเวณแหล่งน้ำ เมืองต่าง ๆ ทั้งสมัยโบราณและสมัยปัจจุบัน ต่างก็ยึดแม่น้ำไว้เป็นหลัก หากไม่มีแม่น้ำ ก็ขุดคูล้อมรอบเมืองและชักน้ำจากแม่น้ำมาเข้าคูน้ำรอบเมือง แต่เมืองที่ตั้งห่างไกลจากแม่น้ำมีไม่มาก หรืออาจกล่าวได้เลยว่า “ไม่มีเลย” เพราะการจะเริ่มก่อร่างสร้างเมือง จำเป็นต้องเลือกหาชัยภูมิที่เหมาะสม ทั้งด้านเศรษฐกิจ การปกครอง และการคมนาคม ดังนั้น แม่น้ำ จึงเป็นปัจจัยหลักของการวางผังสร้างบ้านแปงเมือง
การที่จะศึกษาถึงเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ของประชาชนในอดีตได้นั้น จำต้องมีเครื่องยึดเหนี่ยวอันเป็นหลักฐานที่แน่นอน มั่นคงพอ และเป็นเพราะเหตุว่า หลักฐานต่าง ๆ อันเป็นสิ่งก่อสร้างของมนุษย์ในสมัยโบราณนั้น ถูกทำลายลงทั้งโดยธรรมชาติ กาลเวลา และมนุษย์แล้ว ทำให้การศึกษาถึงความเป็นอยู่ของชุมชนในสมัยโบราณนั้นยากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาหลักฐานต่าง ๆ อันได้แก่ เศษภาชนะดินเผา เครื่องมือ เครื่องใช้ต่าง ๆ ซากโบราณสถาน โบราณวัตถุ ที่ยังพอเหลือมีอยู่ในบริเวณนั้น ๆ มาพิจารณาประกอบกับสภาพทางภูมิศาสตร์ด้วย.
แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นที่ก่อเกิดของแหล่งชุมชนใหญ่ ๆ ได้มาหลายยุคหลายสมัย และมีความเป็นอยู่ของชุมชนที่ต่อเนื่องกันมานับศตวรรษ สองฝั่งแม่น้ำจะเต็มไปด้วยวัดวาอารามทั้งเก่าและใหม่ ทั้งร้างและยังไม่ร้าง เป็นการแสดงให้เห็นว่า เป็นชุมชนมาเนิ่นนานแล้ว และส่วนใหญ่เป็นชุมชนที่นับถือพุทธศาสนา แม้จะมีวัดในศาสนาอื่นบ้าง ก็เป็นเพียงส่วนน้อย
จากการที่ได้ศึกษาสภาพของโบราณสถาน สามารถจะทำให้ทราบได้ถึงแหล่งชุมชนนั้น ๆ ได้ ว่า เป็นแหล่งชุมชนขนาดเล็กหรือใหญ่ ทั้งนี้ เพราะการสร้างศาสนสถานในสมัยโบราณ สร้างขึ้นด้วยกำลังศรัทธา สร้างขึ้นตามกำลังทรัพย์ และกำลังแรงงานที่ผู้สร้างจะกระทำได้
ถ้าหากเศรษฐกิจ หรือความเป็นอยู่ของชุมชน ไม่เดือดร้อน หรือยุ่งยากแล้ว สิ่งก่อสร้างที่สำเร็จออกมา ก็ย่อมจะต้องมีลักษณะประณีต สวยงาม และทั้งยังมีขนาดใหญ่โตอีกด้วย
แต่ถ้าหากเศรษฐกิจของประชากรในบริเวณนั้น ไม่เจริญดีเท่าที่ควร วัดวาอารามก็จะไม่ใหญ่โต สวยงาม หรือประณีตเท่าที่ควร ทั้งนี้ย่อมเป็นไปตามกำลังทรัพย์และอำนาจของผู้สร้าง
อีกประการหนึ่งสำหรับศิลปะที่แฝงมาในรูปของศาสนา ที่สามารถสอดแทรกอารมณ์ของช่างลงไปในรูปแบบของประติมากรรมและสิ่งก่อสร้างได้อย่างสนิทสนม เช่น พระพุทธรูป หรือ สิ่งก่อสร้างในศิลปะแบบสุโขทัย จะเห็นได้ว่า พระพุทธรูปมีความงดงามอย่างยากที่จะเป็นจริง ศิลปินผู้สร้างงานศิลปะมีความสุขทางใจและทางกายมาก เหตุเพราะบ้านเมืองสงบสุข เจ้าผู้ครองนครอยู่ในทศพิธราชธรรม ประติมากรรมและสิ่งก่อสร้าง จึงออกมาอย่างประณีตและงดงามด้วย
และเมื่อมาพิจารณาถึงประติมากรรมสมัยอู่ทอง อันเป็นช่วงระยะเวลาที่พระนครศรีอยุธยามีอำนาจมากขึ้น ได้รับเอาอิทธิพลอารยธรรมและวัฒนธรรมในด้านต่าง ๆ ของขอมเข้ามาปะปนมาก ประกอบกับการต้องการแสดงอำนาจอันยิ่งใหญ่เหนือขอมและสุโขทัย ศิลปกรรมจึงแฝงไปด้วยอำนาจ พระพักตร์พระพุทธรูปจึงถมึงทึง
ต่อมาเมื่อมีการศึกสงครามทั้งภายในและภายนอกบ่อยครั้ง ประชาชนได้รับผลแห่งสงครามนั้น ๆ บ่อยครั้ง ความประณีตอ่อนโยนในศิลปะก็ลดน้อยลงไป พระพุทธรูปและประติมากรรมรูปเคารพอื่น ๆ จึงมีความเป็นมนุษย์ที่ใกล้เคียงกับคนธรรมดามากขึ้น รวมไปทั้ง สถาปัตยกรรม เช่น โบสถ์ วิหาร ที่สร้างขึ้น ให้มีความทึบทึม ใหญ่โตและน่าเกรงขาม ทั้งภายในและภายนอก เหมือนกับเป็นการสร้างขึ้นเพื่อเป็นการสร้างพลังแห่งความเชื่อ ความขลัง และอำนาจ มากขึ้น จนขาดความงามที่เป็นแบบอุดมคติ อย่างเช่น สมัยสุโขทัยเจริญรุ่งเรือง
บันทึกลายมือเขียน
พระพุทธรูปศิลปะแบบสุโขทัย อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๐
พระพุทธรูปศิลปะแบบอู่ทอง อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ -๒๐
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น