Best Thai History

Amps

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

อัตชีวประวัติปฏิพัฒน์ (วัชรินทร์ ) ตอน : สำรวจสรรค์บุรี ปี พ.ศ.๒๕๑๑ (๒)

ตอน : สำรวจสรรค์บุรี ปี พ.ศ.๒๕๑๑ (๒)

"วัดโตนดหลาย (โตนดไหล)"
ตั้งอยู่บนที่ดอนเล็กน้อย
รอบ ๆ โคกวัด เป็นไร่ถั่ว และข้าวโพด
ตัวโบราณสถานถูกปกคลุมด้วยหญ้ารกรุงรัง
แต่พอมองเห็นเจดีย์ เป็นเจดีย์แบบสุโขทัย ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ฐานล่างเป็นฐานบัวลูกแก้ว
รับฐานย่อมุมก้านดอกบัวตูม (พุ่มข้าวบิณฑ์)

กรุของเจดีย์องค์นี้ ไม่ต้องพูดถึง
ถูกเจาะเรียบร้อยหมดแล้ว

ด้านทิศตะวันออกของเจดีย์
มีฐานอาคารวิหาร ยาวประมาณ ๒๐ เมตร กว้าง ๖ เมตร
พบซากพระพุทธรูป

ทั้งแบบลพบุรี และ อยุธยา
ที่หักชำรุดกระจายอยู่มากมายหลายองค์

เสาวิหารเป็นเสากลม
หลักฐานอื่นไม่ปรากฏชัด เพราะบริเวณวัดค่อนข้างรกมาก

อาจารย์ คงเดช ประพัฒน์ทอง (พี่ขุน) ให้คำสันนิษฐาน ว่า

วัดนี้ น่าจะสร้างขึ้นในสมัยเจ้าอ้ายพระยา
มีการนำเอารูปแบบของศิลปกรรมแบบสุโขทัย
มาดัดแปลงให้เป็น รูปแบบของตนเอง

หรือ อาจจะได้รับอิทธิพลมาจากเมืองเหนือ ก็เป็นได้
แต่หลักฐานที่พบทั้งหมดในบริเวณวัดโตนดแห่งนี้
ล้วนเป็นศิลปกรรมในสมัยอยุธยา และ สมัยลพบุรี ทั้งสิ้น

ดังนั้น จึงยังไม่มีอะไรที่จะใช้เป็นเครื่องกำหนดอายุ
โบราณสถานได้อย่างชัดเจนนัก

จากนั้น ย้อนกลับมาทำผังบริเวณ วัดสองพี่น้อง
ซึ่งมีสภาพเป็นป่ารก
เช่นเดียวกับ วัดโตนดหลาย

พวกเรานั่งรอนอนรอ อาหาร ที่ ศรเพชร “ผู้คุม”
และ ดวงกมล “ตู๋” เป็นผู้ออกไปซื้อหาในตลาด

ข้าพเจ้า ใช้เวลาว่างระหว่างรออาหาร
เดินเลียบ ทางน้ำไหล แหวกพงหญ้า
และข้าวโพดเข้าไปเรื่อย ๆ จนถึงองค์ปรางค์

ปีนขึ้นไปดูกรุในองค์ปรางค์ ที่
ถูกขุดเอา สิ่งที่บรรจุภายในไปหมดเรียบร้อยแล้ว

ภายในห้องกรุสี่เหลี่ยม
เข้าใจว่า น่าจะมีภาพจิตรกรรม
แต่ลบเลือนจางหายไปหมดสิ้นแล้ว

ออกจากกรุ ไต่เลาะ ๆ ไปรอบ ๆ องค์ปรางค์
มีต้นไม้ใหญ่เกาะมุมเจดีย์อยู่ด้านหนึ่ง
ต้นไม้นี้ ทำหน้าที่เป็นทั้ง

พระศิวะ ผู้ทำลาย และพระนารายณ์ผู้รักษา

เพราะหากต้นไม้นี้โค่นลง
เจดีย์ทรงปรางค์องค์นี้ คงแทบไม่เหลือซาก
กลายเป็นเศษอิฐเศษปูนไปในที่สุด

ทางด้านทิศตะวันออกของเจดีย์ทรงปรางค์
มีพระพุทธรูปปูนปั้น ปางลีลา ศิลปะแบบสุโขทัย องค์หนึ่ง

ข้าพเจ้าตกใจมาก
ที่ยังเห็นว่ายังเหลืออยู่รอด
จากมือมารมาได้อย่างไร

ครั้นไต่เลียบไปทางด้านทิศใต้ พบ
พระพุทธรูปปูนปั้นอีกองค์หนึ่ง
แต่เป็นพระพุทธรูป ศิลปะแบบอู่ทอง

แปลกจริง ๆ ที่ พระสองด้าน เป็นศิลปะคนละแบบกัน
แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องระหว่าง

สุโขทัย กับ สุพรรณภูมิ หรือ อยุธยาอย่างแน่นอน

ครั้น ข้าพเจ้ากลับมานั่งพินิจพิจารณา

พระพุทธรูปปางลีลา

นั้น อย่างเต็ม ๆ ตา อีกครั้ง
จึงพบว่า มิได้เป็น
พระพุทธรูปแบบสุโขทัยแท้ ๆ
เพราะมี "ไรพระศก" อยู่ระหว่าง พระศกกับพระนลาฎ

แสดงให้เห็นว่า เป็นสมัยหลังลงมา
เข้าสู่สมัยอยุธยาแล้ว หรือ ที่เรียกกันว่า

ศิลปะแบบอู่ทองรุ่น ๓
อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐





พระพุทธรูปในซุ้มองค์นี้ หน้าเป็นเหลี่ยม แบบพระอู้ทอง รุ่น ๒ วัดสองพี่น้อง เมืองสรรค์บุรี (ปัจจุบันไม่มีเศียรแล้ว)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น