Best Thai History

Amps

วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2567

เขื่อนเจ้าพระยา ชัยนาท เขื่อนแห่งแรกของประเทศไทย

 เขื่อนเจ้าพระยา ชัยนาท 

เขื่อนแห่งแรกของประเทศไทย

คณะเราเดินทางข้ามเขื่อนเจ้าพระยาไปฝั่งตะวันออก 
ถึงโบสถ์หลวงพ่อหิน เมื่อเวลาประมาณ 09.30 น.
แต่เดิมการเพาะปลูกในเขตพื้นที่ราบภาคกลางสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ชัยนาท จนถึงอ่าวไทยต้องอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก 
ปีไหนที่ฝนแล้ง เกษตรกรในอดีตก็จะได้รับความเดือดร้อนอยู่เสมอ 
จนปี พ.ศ. ๒๔๔๕ ใน   รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นายเย โฮมัน วันเดอร์ไฮเด ผู้เชี่ยวชาญการชลประทานชาวฮอลันดา 
เสนอให้สร้างโครงการเจ้าพระยาใหญ่ ที่อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท 
แต่ประเทศสยามในช่วงระยะเวลานั้น 
จำต้องใช้งบประมาณบำรุงประเทศในทางอื่นที่จำเป็นเร่งด่วนมากกว่า  แผนการก่อสร้างโครงการเจ้าพระยาใหญ่จึงต้องระงับไว้ก่อน 
ครั้นต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว 
ได้เกิดภาวะฝนแล้ง ๒-๓  ปีติดต่อกัน 
ในปี พ.ศ.๒๔๕๖ เซอร์ ทอมมัส เวอร์ด ผู้เชี่ยวชาญชาวอังกฤษ 
ได้เสนอให้ก่อสร้างโครงการเจ้าพระยาใหญ่ขึ้นอีกครั้ง  
แต่เวลานั้นอยู่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่๑ 
การก่อสร้างโครงการเจ้าพระยาใหญ่จึงต้องระงับอีกเป็นครั้งที่สอง
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร 
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๑ ขณะที่หลายประเทศประสบภาวะขาดแคลนอาหาร องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) 
จึงได้พิจารณาถึงความจำเป็นของโครงการเจ้าพระยาใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
โดยในเดือนตุลาคมปีนั้น 
กรมชลประทานจึงได้เสนอโครงการต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 
รัฐบาลพิจารณาเห็นชอบตามที่เสนอ 
ประกอบกับในปี พ.ศ.๒๔๙๒ รัฐบาลได้เข้าเป็นสมาชิกธนาคารโลก 
จึงขอกู้เงินเพื่อสร้างโครงการเจ้าพระยาเพื่อการเพาะปลูกใหญ่ 
ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นเงินจำนวน ๑๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ
กรมชลประทานได้เริ่มเตรียมงานเบื้องต้น ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๔๙๔ 
และเริ่มงานก่อสร้างเขื่อนเจ้าพระยา  บนแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมกับระบบส่งน้ำ ขึ้น บริเวณคุ้งบางกระเบียน หมู่ที่ ๔ ตำบลบางหลวง อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ 
ช่วงระหว่างการก่อสร้าง 
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช 
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ 
พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 
ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๘ 
และหลังจากการสร้างเขื่อนเสร็จเรียบร้อยแล้ว 
ทั้งสองพระองค์ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดเขื่อนเจ้าพระยา 
เมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๐
เขื่อนเจ้าพระยาแห่งนี้ จึงนับเป็นเขื่อนแห่งแรกของประเทศไทย


























เมืองโบราณสมัยทวารวด บ้านคูเมือง อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี

 เมืองโบราณสมัยทวารวดี

บ้านคูเมือง อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี

ออกเดินทางต่อจากวัดร้างสุทธาวาส สิงห์บุรี
ไปตามถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ขึ้นเหนือ 
ผ่านทางเข้าเมืองโบราณบ้านคูเมือง อ.อินทรบุรี 
เมืองนี้สร้างขึ้นบนโคก(เกาะ)ดินใหญ่
เกือบจะกึ่งกลางระหว่าง ลำแม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำน้อย 
จากลักษณะทางภูมิประเทศ
และแนวเส้นแบ่งเขตจังหวัดสิงห์บุรีกับจังหวัดชัยนาท 
ทำให้เห็นว่า เมืองโบราณบ้านคูเมืองนี้
ตั้งอยู่ใกล้ฝั่งน้ำ
ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสายแม่น้ำน้อย 
เชื่อมต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยา 
ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นร่วมสมัยกับ
ศิลปะแบบทวารวดี ต่อสมัยลพบุรี (ขอมในประเทศไทย)  
ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๗














วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2567

วัดสุทธาวาส (ร้าง) กับ วัดงู(ร้าง) เป็นวัดราษฎร์ สร้างสมัยอยุธยาตอนปลาย ราวพุทธศตวรรษ ที่ ๒๓ -๒๔

 ส.๑๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๗ 

วันที่ ๒ ของการเดินทาง

เราตั้งเป้าขึ้นไป ที่ปากน้ำ ต้นทางแม่น้ำน้อย

ที่แตกสาขาแยกออกมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา
และ...แล้วแต่ คุณโกศล,คุณเท่ห์ 
จะชี้แนะนำทาง พาไปดู 
เพราะเดินตระเวนสำรวจวัดแถวนี้มานานแล้ว
วัดที่ไปวันแรก จึงยังไม่มีชื่ออยู่ในแผนที่ 
เป็นวัดที่พบอยู่ระหว่าง วัดสุทธาวาส (ร้าง) กับ วัดงู(ร้าง) 
วัดร้างแห่งนี้ ตั้งอยู่หลังโรงเรียนวัดสุทธาวาส  (ตรงข้ามกับตัววัดสุทธาวาส ) ต.ทับยา อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี  
แยกจากถนนลาดยางไปทางตะวันตกประมาณ ๒๘๐ เมตร 
ตัววัดร้างตั้งอยู่บนโคกกลางทุ่งนา มีบ้านชาวบ้าน ตั้งอยู่ ๑ หลัง 
สภาพของวัดตั้งอยู่บนเนิน กลางทุ่งนา
ยังคงเหลือผนังอยู่ ๒ ด้าน ที่ไม่สมบูรณ์ 
มีพระประธานประทับนั่งขัดสมาธิราบปางมารวิชัย 
ก่ออิฐถือปูน องค์หนึ่ง ฝีมือแบบชาวบ้าน 
มีชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินทราย
พระชัยวัตน์ (ที่เรียกกันผิด ๆ ว่า “พระงั่ง”) สมัยอยุธยา 
แตกหักทิ้งอยู่หลายองค์  
พระเหล่านี้ คงเป็นของเดิมที่พบอยู่ในบริเวณวัดร้างแห่งนี้ 
ประกอบกับตุ๊กตาดินเผา และเศษกระเบื้องเชิงชาย 
ทำให้สันนิษฐานได้ว่า 
วัดนี้เป็นวัดราษฎร์ ที่อยู่ในกลุ่มชุมชนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา 
สร้างสมัยอยุธยาตอนปลาย ราวพุทธศตวรรษ ที่ ๒๓ -๒๔


























วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2567

จารึกลานทองวัดส่องคบ ควรพบที่ไหน

 "จารึกลานทองวัดส่องคบ" ควรพบที่ไหน? 

จารึกเลขที่ ๔๔/๒๔๙๙, จารึกอักษรขอม ภาษาไทย บนลานทอง, หลักที่ ๔๘ จารึกลานทองวัดส่องคบ, จารึกลานทองวัดส่องคบ ๑ 
ปัจจุบันแผ่นจารึกวัดส่องคบเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร 
มีข้อความตอนหนึ่งว่า 
“เจ้าเมืองขุนเพชญสาร 
มีพระผจงศรัทธา ประดิษฐานไว้ต่าง ได้เท้า พระมหาเถรศีลคําคําพีรย 
ผู้เป็นครูเจ้าสถานบากลเทพ นี้ 
ใส่ใจไว้แด่ปริญามหาเพียร กระทําให้เกียรติยศเท้า (ถึง) เจ้าเมือง 
ขุนเพชญสาร ผู้ใจชาวมหาศรัทธา 
อีกออกศรีมาดา พนิดา แม่นางสร้อยทอง ผู้เลิศ
บังเกิด ศรัทธา มหาพนิดาพิจิตร 
ต่อติดแม่นางศรีมลจร ใจบรรเจิดเพริศแด่ศรัทธาก่อนมา 
แม่นางพัวผู้มีคุณ 
แม่นางผู้ใจบุญ บุญชาวแม่ทั้งหลาย 
พรรณรายศรัทธาอนุโมทนาด้วย ธ เจ้าเมือง
แต่ ปีชวด นักษัตรสัมฤทธิศก ไพสาข วันอาทิตย์ ตรา เอกาทศเกต  
จึงพระสงฆ์ทั้งหลายแต่ ธ เจ้าเมือง
ประดิษฐานพระศรีรัตนธาตุ แห่งกรุงไชยสถานนาม”  
ข้อความในจารึกลานทอง ดังกล่าวได้กล่าวถึง 
ขุนเพชญสาร เจ้าเมืองไชยสถาน 
(เมือง“ไชยสถาน”นักวิชาการสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นชื่อเมืองชัยนาทเดิม) กับสตรีผู้มีชื่อหลายคนร่วมกันสร้าง
"พระศรีรัตนมหาธาตุ" ขึ้นเมื่อ
ปีชวด นักษัตรสัมฤทธิศก ซึ่งตรงกับ
( ปีชวด จุลศักราช ๗๗๐ พุทธศักราช ๑๙๕๑ 
เป็นปีที่ ๑๔ในรัชกาลสมเด็จพระรามราชาธิราช พระนครศรีอยุธยา)
ตามประวัติ “จารึกลานทอง” 
พบในเจดีย์ของวัดส่องคบ (ร้าง) เมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๙๔ 
ซึ่งปัจจุบันไม่มีเจดีย์ 
ไม่มีพระศรีรัตนมหาธาตุ  ที่ วัดส่องคบ 
มีแต่ “พระบรมธาตุชัยนาท”  ที่ วัดพระบรมธาตุวรวิหาร ชัยนาท
ซึ่งอยู่บนฝั่งตรงข้ามของปากแม่น้ำน้อย 
ที่แยกมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งตะวันตก
จึงชวนให้คิดว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ ?
ว่า  “จารึกลานทองวัดส่องคบ” 
หลักฐานสำคัญชิ้นนี้ แต่เดิม เป็นของ
วัดพระบรมธาตุวรวิหาร ชัยนาท























วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

หลวงพ่อแดง พระประธานสำคัญของวัดราชสิงขร

 "หลวงพ่อแดง" 

พระประธานสำคัญของวัดราชสิงขร

หลวงพ่อแดงเป็นพระพุทธรูปที่อัญเชิญ
ลงแพล่องแม่น้ำเจ้าพระยาลงมาจากทางเหนือ
น่าจะเมื่อครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้
อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญลงมากรุงเทพฯ
แต่เมื่อมาถึงคุ้งน้ำบางคอแหลม บริเวณหน้าวัดราชสิงขร
เป็นช่วงเวลาน้ำหลาก เชี่ยวกราก 
จึงเกิดอุบัติเหตุ แพที่บรรทุกพระพุทธรูปมาแตก 
พระพุทธรูปที่อัญเชิญมาบนแพจึงจมลงอยู่ใต้น้ำ
สันนิษฐานว่า 
เมื่อครั้งสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
ทรงรับปฏิสังขรณ์วัดเก่าสมัยอยุธยา แห่งนี้
(ยังไม่พบหลักฐานที่เก่าถึงสมัยอยุธยา)
คงตั้งพระทัยจะนำ พระสำริด "หลวงพ่อแดง" 
มาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ
แต่เมื่อพระพุทธรูปองค์นั้น จมน้ำเสียแล้ว
จึงโปรดให้สร้างพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทองขึ้น
เป็นพระประธานในพระอุโบสถ แทนจนถึงปัจจุบัน
พระพุทธรูปองค์ที่จมน้ำ  น่าจะจมอยู่นาน 
จนวัดราชสิงขร สร้างเสร็จ
จึงได้อัญเชิญ ขึ้นมาประดิษฐานอยู่บนฝั่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา
และหลังจากทำความสะอาด "ตราบไคล ตะไคร่น้ำ" แล้ว
องค์พระพุทธรูปเกิด "สนิมแดง" ขึ้นทั้งองค์
จึงเรียกว่า "หลวงพ่อแดง"
ผู้มีจิตรศรัทธาได้สร้าง พระวิหาร นำ "หลวงพ่อแดง" 
ขึ้นประดิษฐานเป็นพระประธานในพระวิหาร
(ไม่ปรากฎว่าสร้างขึ้นในสมัยใด)
จนต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๖๔ 
ตรงกับปีที่ ๑๒ในรัชกาลที่ ๖ 
ได้มีการบูรณะพระวิหารหลวงพ่อแดง  (เครื่องไม้) 
สร้างขึ้นเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ขึ้นแทนหลังเดิม
แต่ไม่ปรากฏชื่อผู้บูรณะ


พระอุโบสถวัดราชสิงขร สร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ เสร็จในรัชกาลที่ ๓
พระวิหาร "หลวงพ่อแดง" สร้างในสมัยรัชกาล ๓ - รัชกาลที่ ๕ ?


พระประธานปูนปั้น ลงรักปิดทอง พระประธานในพระอุโบสถวัดราชสิงขร สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑





"หลวงพ่อแดง" พระประธานสำริดที่อัญเชิญมาจากหัวเมืองทางเหนือ ครั้งสมัยรัชกาลที่ ๑




วัดราชสิงขร วัดชนะสงครามและวัดมหาธาตุ เป็นวัดที่มีความสำคัญอย่างไร ในอดีต

 วัดราชสิงขร วัดชนะสงครามและวัดมหาธาตุ 

วัดราชสิงขร พระอารามหลวง ชั้นตรีชนิดสามัญ

เป็นวัดโบราณ สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา 
จากการบันทึกเรื่องเล่าของวัด ว่า 
สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
โปรดให้ช่างหลวงวังหน้า มาปฏิสังขรณ์
สร้างพระอุโบสถ พระวิหารขึ้นใหม่ 
ตามหลักฐานที่ปรากฏ คือ
ใบเสมาหินชนวนที่ฝังไว้กับผนังด้านนอกพระอุโบสถ 
ทั้ง ๘ ทิศ ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกันกับ

วัดชนะสงครามและวัดมหาธาตุ 

อันเป็นพระอาราม ที่ สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท 
ทรงเป็นผู้ปฏิสังขรณ์ 
หลังจาก สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท 
สวรรคตใน ปี พ.ศ.๒๓๔๖ แล้ว 
พระองค์เจ้าหญิงพิกุลทอง และพระองค์เจ้าหญิงเกสร 
พระธิดาในสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
จะได้ทรงทำนุบำรุงและบูรณปฏิสังขรณ์ 
ต่อจากสมเด็จพระราชบิดา 
พระองค์เจ้าหญิงพิกุลทอง 
(กรมขุนศรีสุนทร) (พ.ศ.๒๓๒๐- พ.ศ.๒๓๕๓)
พระราชธิดา องค์แรก ในสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท 
ที่ประสูติจาก เจ้าศรีอโนชา 
พระองค์สิ้นพระชนม์ไปก่อนที่วัดจะปฏิสังขรณ์เสร็จ 
และพระองค์เจ้าหญิงเกสร (พ.ศ. ๒๓๒๒) 
พระราชธิดา องค์ที่ ๓ ในสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท 
ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาแก้ว 
ได้ทำการบูรณะสืบเนื่องต่อมาจนสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ ๓ 
จากประวัติของวัดได้กล่าวถึงหลักฐาน ชิ้นหนึ่ง ที่มีความสำคัญมาก คือ
ศิลาจารึกที่พบอยู่บนหน้าพระอุโบสถและพระวิหาร ว่า
จารึกขึ้นในปี พ.ศ.๒๓๗๔ 
(ตรงกับปีที่ ๘ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓)  พระองค์เจ้าหญิงพิกุลทอง และพระองค์เจ้าหญิงเกสร
พระธิดาในสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
ได้ทรงทำนุบำรุงและบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ 
โดยได้รับการสนับสนุนจากขุนนางข้าราชการ ตลอดจนพ่อค้า ประชาชน 
การบูรณะครั้งนั้น ได้เปลี่ยนแปลงเครื่องบนของพระอุโบสถและพระวิหาร 
ให้เป็นแบบราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ ๓ 
เช่น ส่วนหลังคาได้ถอดเครื่องประดับที่จะเกิดความเสียหายได้ง่ายออกไป และหันมาใช้วัสดุที่คงทนยิ่งขึ้น 
ลดช่อฟ้า ใบระกาลง 
เปลี่ยนเป็นการก่ออิฐถือปูน 
หน้าบันประดับด้วยตุ๊กตาสิงห์จาน ชาม และกระเบื้องเคลือบ
ลายจีน ลายทับทิม 
ซุ้มประตูและหน้าต่างลายปูนปั้นลงรักปิดทอง 
รูปลายดอกไม้อย่างจีนซึ่งได้นำเข้าจากประเทศจีน 
อนึ่ง มีสถูปเจดีย์ ๒ องค์ 
สร้างอยู่ทางด้านหน้า ของพระอุโบสถ และวิหาร 
กล่าวกันว่า เป็นเจดีย์ ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึง 
พระองค์เจ้าหญิงพิกุลทอง และพระองค์เจ้าหญิงเกสร 
แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่า 
สร้างเพื่อบรรจุพระอัฐิของเจ้าหญิงทั้ง ๒ พระองค์ด้วยหรือไม่


























วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

วัดช่างเหล็กแห่งนี้ ตลิ่งชัน วัดเก่าแก่ สร้างมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ในมุมมองใหม่ ปี พศ.2567

 วัดช่างเหล็กแห่งนี้ ตลิ่งชัน วัดเก่าแก่ สร้างมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ในมุมมองใหม่ ปี พศ.2567

เมื่อวานพรรคพวกมารับ
ไปกินอาหารกลางวัน ครัวยายเปล่ง แล้ว 
ต่อไปเดินเล่นตลาดดอนหวาย หน่อยหนึ่ง 
จึงกลับมา เที่ยววัด "ช่างเหล็ก" ตลิ่งชัน
“วัดช่างเหล็ก” ตั้งอยู่ริมคลองชักพระฝั่งตะวันตก เขตตลิ่งชัน 
ชื่อวัด เหมือนจะเกี่ยวข้องกับ "เหล็ก" 
จึงเป็นที่สนใจของ อ.หนึ่ง 
เพราะคิดว่าจะเกี่ยวข้องกับการตีดาบในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ด้วย 
วัดช่างเหล็ก ตามหลักฐานพระพุทธรูปหินทราย (หลวงพ่อดำ) 
ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่อยู่กับวัดมาแต่ดั่งเดิม 
ประกอบกับตำแหน่งที่ตั้งของวัดที่อยู่บนฝั่งด้านทิศตะวันตก
ของแม่น้ำเจ้าพระยาสายเก่า ( คลองชักพระ )
ทำให้กำหนดอายุได้ว่า วัดช่างเหล็กแห่งนี้ 
สร้างมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี 
ส่วนนามของวัดน่าจะเกี่ยวข้องกับอาชีพดั่งเดิมของประชาชน
ที่อยู่รอบวัด ซึ่งมีอาชีพในการตีเหล็ก 
แต่จะทำอาชีพนี้มาตั้งแต่สมัยใดไม่ปรากฏหลักฐาน
จากประวัติของวัดกล่าวว่า 
พระอุโบสถสร้างขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ 
มีขนาด ๗ ห้อง ด้านหน้ามีประตู ๓ ช่อง ด้านหลัง ๒ ช่อง 
หน้าบันด้านหน้าเป็นรูปเทวดาทรงครุฑ 
ด้านหลังเป็นเทวดาทรงหนุมาน  
รูปแบบของศิลปกรรมบนหน้าบันเช่นนี้ 
เป็นศิลปกรรมโดยเฉพาะของวังหน้า 
(สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท)
เหมือนกับวัดชนะสงคราม 
และลักษณะศิลปกรรมใบเสมาเป็นหินแกรนิตสีเทาดำ 
มีกนกเอวเป็นเศียรนาค ยอดเป็นมงกุฎครอบ ในซุ้มสีมาทรงกูบ  
ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมทำกันในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ 
ดังนั้น จึงเชื่อว่า “วัดช่างเหล็ก” เป็นวัดสมัยอยุธยาวัดหนึ่ง
ที่ได้รับการปฏิสังขรณ์โดยช่างวังหน้า มาตั้งแต่ครั้งสมัยรัชกาลที่ ๑ ด้วย