Best Thai History

Amps

วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2568

จิตรกรรมที่งดงามและไม่เหมือนใคร วัดชิโนรสารามวรวิหาร

 จิตรกรรมที่งดงามและไม่เหมือนใคร วัดชิโนรสารามวรวิหาร 

"จิตรกรรมที่งดงามและไม่เหมือนใคร"
จิตรกรรมฝาผนัง วัดชิโนรสารามวรวิหาร 
แสดง ภาพพระศรีอริยเมตไตรย 
เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิต 
เพื่อทรงแสดงธรรม แก่ 
เทพยดาอันมีพระอินทร์ เป็นประธาน 
รวมทั้งหมู่พญามาร ทั้งหลาย
ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เอง.
ขอบคุณ ภาพจากชมรมพิพิธสยาม.









พระอุโบสถเก่า "วัดเจ้ามูล" แขวงวัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร

 เที่ยวกับชมรมพิพิธสยาม 

ว่าด้วยพระอุโบสถเก่า "วัดเจ้ามูล"

แขวงวัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร

พระอุโบสถหลังเก่า วัดเจ้ามูล
หันหน้าไปทางทิศตะวันออก 
มีขนาด กว้าง ๗ เมตร ยาว ๘เมตร 
กรอบประตูหน้าต่างเป็นวงโค้ง และรูปวงโค้งมน  
ด้านบนของผนังทั้ง ๔ ทำเป็นลักษณะใบเสมาของป้อมกำแพง 
แต่เจาะเป็นช่องตะแกรง 
รวมทั้งช่องว่างระหว่างใบเสมาด้วย
เพื่อให้แสงเข้าได้โดยรอบ แล้วจึงสร้างหลังคามุงกระเบื้องว่าวปิด 
ทำให้ดูแล้วเหมือนอาคารป้อมปืน  
นับเป็นรูปแบบอาคารโบสถ์
ที่แปลกไปจากอาคารโบสถ์โดยทั่วไป
แต่เดิมด้านหน้าพระอุโบสถเก่า (หลวงพ่อทับทิม) หลังนี้ 
มีเจดีย์ และปรางค์ คู่หนึ่ง 
อายุการก่อสร้างตามประวัติ ว่า 
สร้าง ประมาณ ปี พ.ศ.๒๔๖๐ - พ.ศ.๒๔๖๕  
( ระหว่าง ปีที่ ๘ - ปีที่ ๑๓ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ) 
ต่อมาใน ปี พ.ศ.๒๕๐๙  
เจดีย์และปรางค์ คู่นี้ชำรุดทรุดโทรมลง 
พระครูโสภณสมาธิวัตร (หลวงพ่อเฟื่อง สมณศักดิ์ในสมัยนั้น) 
ได้ทำการรื้อถอนพระเจดีย์หน้าพระอุโบสถหลวงพ่อทับทิม
เพื่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ 
เมื่อทำการรื้อถอนพระเจดีย์หน้าพระอุโบสถ 
ได้พบพระเครื่องในกรุเข้าโดยบังเอิญ 
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพระเครื่องเนื้อผง มีทั้งสีขาวและสีแดงแก่ว่านสบู่เลือด


















วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2568

โบราณวัตถุ ๒ ชิ้น ที่สำคัญของวัดโพธาราม

 โบราณวัตถุ ๒ ชิ้น ที่สำคัญของวัดโพธาราม
คือ พระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิราบปางสมาธิ และ 
พระโพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร

ประดิษฐานอยู่ในมณฑป ทั้งสององค์ 
พิจารณาจากสถานที่แล้ว
เชื่อว่า น่าจะเป็นโบราณวัตถุที่เคลื่อนย้ายมาจากที่อื่น 
แล้วนำมาประดิษฐาน ไว้ที่วัดโพธาราม (ตั้งแต่เมื่อใด ไม่ปรากฏ)
จากการสำรวจจากภาพถ่ายทางอากาศและการเดินสำรวจ 
เมืองโบราณสมัยทวารวดี พุทธศตวรรษที่ ๑๓ - ๑๖
ที่ตั้งอยู่ใกล้ วัดโพธารามที่ สุด 
คือ เมืองโบราณบ้านคูเมือง อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี  
จึงอาจเป็นไปได้ว่า 
พระพุทธรูปศิลา ปางสมาธิ สมัยทวารวดี 
ได้ถูกนำมาจากเมืองนี้
อนึ่ง ใน พช.อู่ทอง มีพระพุทธรูปหิน ลักษณะใก้เคียงกัน 
จัดแสดงอยู่ ๑ องค์ 
แต่ ข้าพเจ้าไม่ทราบที่มาชัดเจน ว่า
เป็นโบราณวัตถุที่พบ ในเมืองอู่ทอง หรือ นำมาจากที่อื่น
ผู้ใดทราบ ขอเพิ่มเติมเป็นวิทยาทานด้วยจ้า


พระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ แผ่นหลังมีเรือนแก้วประกอบ ศิลา ศิลปแบบทวารวดี อายุ ๑๓-๑๖ วัดโพธาราม ชัยนาท
พระพุทธรูปหินสมัยทวารวดี วัดโพธาราม ต.แพรกศรีราชา อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท


พระพุทธรูปขัดสมาธิราบ ปางสมาธิ ที่ฐานด้านหน้า สลักรูปธรรมจักร และกวางหมอบ ศิลา ศิลปแบบทวารวดี อายุ ๑๓-๑๖ จัดแสดง อยู่ พช.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี...(ภาพของ อนุรักษ์ศิลป์ )

พระพุทธรูปสมัยทวารวดี ที่วัดโพธาราม (ต่อ)
เรื่องพระพุทธรูป สมัยทวารวดี วัดโพธาราม
Pramet Peet ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม ว่า
พระพุทธรูปองค์นี้ ได้มาจาก “เมืองโบราณดงคอน” 
ต.แพรกศรีราช อ.สรรค์บุรี 
ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับวัดโพธาราม มากกว่า  
ดังนั้น การที่สันนิษฐานว่า 
อาจจะมาจากเมืองโบราณบ้านคูเมือง อ.อินทรบุรี 
เป็นอันตกไป  
เมื่อติดตามหาที่ตั้งของ “เมืองโบราณดงคอน” ต่อไป 
จึงพบว่า  มูลนิธิ เล็ก-ประไพ 
ได้สำรวจและทำผังที่ตั้งเมืองไว้ 
หลังจากตรวจสอบกับภาพถ่ายทางอากาศ 
และไปดูสถานที่จริงแล้ว 
เกือบจะไม่เห็นสภาพที่ยังคงอยู่เมืองโบราณดงคอนนี้เลย


แผนที่ ที่ตั้งเมืองโบราณดงคอน จาก มูลนิธิ เล็ก-ประไพ


ในวงแดง คือ สถาพ "เมืองโบราณดงคอน" ต.แพรกศรีราชา อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท จาก Google Map ปัจจุบัน


สภาพคูเมืองคงคอน สมัยทวารวดี ที่ยังเหลืออยู่ในปัจจุบัน










วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2567

วัดโพธาราม วัดโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยา ต.แพรกศรีราชา อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท

 วัดโพธาราม  

ต.แพรกศรีราชา อ.สรรค์บุรี จ.ชัยนาท 

เป็นวัดโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยา

ซึ่งยังปรากฎเจดีย์ขนาดย่อม 
เหลือเพียงชั้นฐานอยู่ด้านหลังวิหาร อยู่ ๑ องค์
และ ชิ้นส่วน พระพุทธรูปหินทรายอีกหลายองค์
ต่อมา ราษฎรชาวบ้านซ่อง ได้พร้อมใจกันสร้างวัดขึ้นใหม่ 
ในบริเวณโบราณสถานร้าง  
เพื่อให้เป็นศูนย์กลางของชาวบ้านซ่อง 
ที่จะมาทำบุญทำกุศลร่วมกัน 
และเรียกชื่อเป็นสามัญว่า “วัดบ้านซ่อง” ตามชื่อของหมู่บ้าน 
ภายหลัง วัดได้รับการพัฒนามากขึ้น 
มีเสนาสนะสมควรกับการเป็นวัด
สิ่งที่จะทำให้วัดสมบูรณ์ได้ จะต้องมีพระอุโบสถ 
เมื่อการก่อสร้างพระอุโบสถเสร็จ 
ตามหลักฐานที่เขียนทั้งภาษาไทยและจีน บนซุ้มประตูพระอุโบสถ
ว่า “ปีจอ เดือน๗ ช่างย่งผู้ทำ” (พระอุโบสถหลังนี้)
"ปีจอ"ในที่นี้ หมายถึง ปี พ.ศ. ๒๔๔๑ 
คือ สร้างเสร็จก่อนได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ๕ ปี
เมื่อเสนาสนะและพระอุโบสถ เสร็จเรียบร้อยแล้ว
จึงได้ทำเรื่องขอพระราชทานวิสุงคามสีมา 
และในปีที่ ๓๕ ปีครองราชย์  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 
"วัดบ้านซ่อง" จึงได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา 
เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๔๕ (ปีขาล) 
และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “วัดโพธาราม” มาจนถึงสมัยปัจจุบัน
สรุป 
วัดโพธาราม (วัดบ้านซ่อง) สร้างขึ้นใหม่สมัยรัชกาลที่ ๕ 
ในบริเวณวัดร้างเก่าสมัยอยุธยา 
สร้างพระอุโบสถเสร็จ ปี พ.ศ.๒๔๔๑
พระราชทานวิสุงคามสีมา ใน ปี พ.ศ.๒๔๔๕
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 
นับอายุถึงปัจจุบัน (พ.ศ.๒๕๖๗) ได้ ๑๒๖ ปี


























จิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถ์ วัดโพธาราม อ.แพรกศรีราชา จ.ชัยนาท บ่งบอกที่มา ของ รถลาก และ รถเจ๊ก

 "รถลาก" และ "รถเจ๊ก"

 บนจิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถ์ 

วัดโพธาราม อ.แพรกศรีราชา จ.ชัยนาท

บนฝาผนังด้านทิศเหนือ ของพระอุโบสถ
ตอนบนของผนังเขียนภาพพระสาวกยืน 
ในลักษณะยกมือขวาขึ้นเสมออก ยืนเรียงกันเป็นแถวไปโดยรอบ  
ตอนกลาง เขียนภาพนรกภูมิ และมนุษย์ภูมิ 
มีภาพสะท้อนชีวิตประชาชน คือ 
ภาพ "รถเจ๊ก" และ "รถลาก"  หรีอ "รถม้า"
ขับขี่โดยคนชั้นสูง เช่น ขุนนาง  
ชั้นล่างเขียนเป็น ภาพสัตว์เสือ ไล่กัดคน 
ภาพวิถีชีวิตดังกล่าว 
สามารถนำมาประกอบการกำหนดอายุพระอุโบสถหลังนี้ได้เป็นอย่างดี
กล่าวคือ 
 "รถลาก" คันแรกมีขึ้นในประเทศญี่ปุ่น 
เมื่อประมาณ ปี พ.ศ. ๒๓๗๖  
ตรงกับรัชกาล ที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  
แต่เมื่อนำมาใช้ในสยามประเทศ
ส่วนใหญ่ กุลีชาวจีน จะเป็นคนลากรับจ้างชาวกรุงเทพฯ ทั่วไป 
จึงเรียกว่า “รถเจ๊ก”
ในปี พ.ศ.๒๔๔๐ สมัยรัชกาลที่ ๕  
พระยาโชฎึกราชเศรษฐี (พุก)  
ได้นำ "รถลาก" มาจาก "เมืองซัวเถา"ในจีนแผ่นดินใหญ่  
โดยนำขึ้นทูลเกล้าถวาย  
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  คันหนึ่ง  
ต่อมารถลาก กลายเป็นที่นิยมของบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์  
แพร่หลายถึงบรรดาขุนนางและประชาชนชาวบางกอก
ในที่สุด  
เมื่อรถลากรับจ้างบนท้องถนนมีมากขึ้น 
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ 
จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติรถลาก ร.ศ. ๑๒๐ (พ.ศ.๒๔๔๔ ) 
เพื่อควบคุมการใช้รถลากให้เป็นไปตามกฎหมาย.



















วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2567

พระบรมธาตุชัยนาท สมัยอยุธยา หุ้มตะกั่วปิดทองครึ่งองค์

 พระบรมธาตุชัยนาท สมัยอยุธยา 

หุ้มตะกั่วปิดทองครึ่งองค์

ข้อความในจารึกสมัยอยุธยา (หลักที่ ๙๗)
ระบุไว้ละเอียดและชัดเจน ว่า 
หลังจากปฏิสังขรณ์องค์พระบรมธาตุแล้วเสร็จ...
จึงให้ ช่างดีบุกแลพระสงฆ์ขึ้นมาหุ้มพระบรมธาตุ หัวเมืองชัยนาทบุรี 
เป็นดีบุก๒๕หาบ 
หุ้มลงมาเถิงบัลลังก์ชั้นยี่ 
สําเร็จแล้ว ช่างดีบุกแลพระสงฆ์ ล่องลงไปบอกพระทิพมนต์ พระนครศรีอยุธยา
พระทิพย์มนต์จึงขึ้นมาปิดทองพระบรมธาตุ 
ณ วันศุกร์แรม ๕ คํ่าเดือน๗ (มิถุนายน) ปีระกานพศก 
พระพุทธศักราชได้๒๒๖๐ พระวัสสาเศษสังขยา เป็นปฐม
ตั้งแต่ฉัตร ลงมา ถึงชั้นเรือนธาตุ 
ส่วนชั้นบัลลังก์(ฐาน ๓ ชั้นล่างสุด) ฐานชั้นล่างสุด 
พระมหาพุทธสรวัดป่าข้าวเปลือกเมืองชัยนาทบุรี 
ได้ชักชวนพระสงฆ์เจ้าทั้งปวงแลสัปปุรุษทั้งปวง
ช่วยกันปฏิสังขรณ์ 
พระบรมธาตุบัลลังก์ชั้นตํ่าเป็นดีบุก๑๒๒๙. หาบ 
พื้นบัลลังก์ชั้นบนสองชั้นเป็นดีบุก๑๒หาบ
แสดงให้เห็นว่า พระบรมธาตุชัยนาท องค์นี้ 
ครึ่งล่าง (ฐานสามชั้น)  หุ้มด้วยดีบุก 
ส่วนครึ่งบนตั้งแต่ชั้นเรือนธาตุขึ้นไปจนถึงยอดฉัตร 
หุ้มดีบุกปิดทอง 
สวยงามสง่าสมกับเป็นพระบรมธาตุประจำเมืองโดยแท้.











วันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2567

พระบรมธาตุชัยนาท สร้างสมัยอยุธยาตอนต้น ซ่อมแปลง สมัยอยุธยาตอนปลาย

 พระบรมธาตุชัยนาท 

สร้างสมัยอยุธยาตอนต้น ซ่อมแปลง สมัยอยุธยาตอนปลาย

"พระบรมธาตุชัยนาท" มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรม
ที่แปลกแตกต่างไปจากสถาปัตยกรรมรูป
ปราสาทขอม หรือ ปรางค์ หรือ "พระมหาธาตุ"
และเจดีย์ทรงลังกา โดยทั่วไป
แต่เป็นส่วนผสมของรูปแบบสถาปัตยกรรมทั้ง ๒ แบบ
เข้าด้วยกัน นับเป็น เจดีย์ รูปแบบพิเศษ 
เช่นเดียวกับ "เจดีย์แบบพุ่มข้าวบิณฑ์"
ข้อความในจารึกลานทอง "วัดส่องคบ" กล่าวถึง 
"ขุนสรรเพชญ เจ้าเมือง ประดิษฐาน "พระศรีรัตนธาตุ" แห่งกรุงไชยสถาน" 
เมื่อ พ.ศ.๑๙๕๑ 
ตรงกับปีที่ ๑๔ในรัชกาลสมเด็จพระรามราชาธิราช พระนครศรีอยุธยา 
(สายลพบุรี หรือ สายพระเจ้าอู่ทอง)
สมัยอยุธยาตอนต้น
ซึ่งมีความสำคัญสืบเนื่องต่อมาจนถึงสมัยอยุธยาตอนปลาย
ดังปรากฏ ข้อความในจารึก อีกหลักหนึ่ง (หลักที่ ๙๗)  
เป็นจารึกอักษรขอม ภาษาไทย 
ข้อความโดยสรุป ว่า 
พระพุทธสร วัดป่าข้าวเปลือก เมืองไชยนาฎฐบูรี 
คิดอ่านปฏิสังขรณ์ "ซ่อมแปลงพระบรมธาตุ" 
และนิมนต์พระทิพมนต์ (จากพระนครศรีอยุธยา )
ขึ้นมาปิดทองพระบรมธาตุ ณ วันศุกร์ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๗ (มิถุนายน) 
ปีระกา นพศก พระพุทธศักราชได้ ๒๒๖๐ 
เสร็จบริบูรณ์แล้ว 
นิมนต์ "พระทิพมนต์" แล "สมเด็จพระรูป" 
ขึ้นมาฉลองสมโภช พระบรมธาตุ ด้วย 
เมื่อ วันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีจอ สัมฤทธิศก 
พระพุทธศักราชได้ ๒๒๖๑ 
ตรงกับปีที่ ๙- ๑๐ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ 
"พระบรมธาตุ" หรือ "พระศรีรัตนมหาธาตุ" 
ที่กล่าวถึงในจารึกลานทอง วัดส่องคบ สมัยพระรามราชาธิราช พ.ศ.๑๙๕๑
กับ การซ่อมแปลง "พระบรมธาตุ" ในศิลาจารึกวัดพระบรมธาตุขัยนาท 
สมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ พ.ศ.๒๒๖๐- พ.ศ.๒๒๖๑ นั้น
คือ พระบรมธาตุ องค์เดียวกัน.


ภาพถ่ายทางอากาศแสดงที่ตั้งวัดพระบรมธาตุชัยนาท และ วัดส่องคบ ปากแม่น้ำน้อยสบแม่น้ำเจ้าพระยา (เหนือ)


พระบรมธาตุชัยนาท เมืองไชยนาฎฐบูรี


"เจดีย์วัดโตนดหลาย"เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ใต้สุดของอาณาจักรสุโขทัย ที่เมืองสรรคบุรี เมืองชัยนาท


จารึกลานทอง พบที่วัดส่องคบ ชัยนาท


จารึกลานทอง สมัยอยุธยาตอนต้น พบที่วัดส่องคบ เมืองชัยสถาน


ศิลาจารึก สมัยอยุธยาตอนปลาย วัดพระบรมธาตุชัยนาท