Best Thai History

Amps

วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ชื่อเดิม เมืองชัยนาท ชื่อเมือง ชัยสถาน

 เมือง "ชัยสถาน" ชื่อ "เมืองชัยนาท" เดิม

ก่อนพุทธศักราช ๑๙๕๑

ออกจากวัดศาลาขาว ย้อนกลับมาทางเดิม 
ข้ามเขื่อนเจ้าพระยา 
เข้าถนนสายหลักเลียกคลองชลประทานฝั่งตะวันตก
แม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นไปทางเหนือ อีกประมาณ ๙.๕ กม. ก็ถึง 
"วัดส่องคบ" ต.ชัยนาท อ.เมืองชัยนาท จ.ชัยนาท 
ซึ่งตั้งอยู่ด้านทิศใต้ของ "ปากแม่น้ำน้อย" สบกับ "แม่น้ำเจ้าพระยา" 
ที่วัดนี้ ได้พบ "จารึกลานทอง" มีจารึก
ระบุปี ชวด จ.ศ.๗๗๐  (พ.ศ.๑๙๕๑ ตรงกับปีที่ ๑๔ ในรัชกาลสมเด็จพระรามราชาธิราช) 
พระนครกรุงศรีอยุธยา สถาปนามาแล้ว ได้ ๕๙ ปี
กล่าวถึง ขุนเพชรสาร เจ้าเมืองชัยสถาน และญาติศรัทธาร่วมทำบุญ 
สร้างพระบรมธาตุ ขึ้นในเมืองชัยสถาน
ตามประวัติการค้นพบ บันทึกไว้ว่า 
พระครูบริรักษ์บรมธาตุขุดพบในเจดีย์วัดส่องคบ 
เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๙๔ 
และมอบให้อธิบดีกรมศิลปากร เมื่อวันที่ ๔ เมษายน พ.ศ.๒๔๙๕ 
กำหนดเรียกชื่อจารึกลานทองชุดนี้ว่า “จารึกวัดส่องคบ”  
แต่ในครั้งนั้น เมื่อสอบถามถึงเจดีย์ที่พบลานทอง  
ก็ไม่พบร่องรอยของเจดีย์ดังกล่าวแล้ว 
หากพิจารณาทั้งโบราณวัตถุ (ลานทอง),
ข้อความที่กล่าวอ้างถึงในจารึก แล้ว 
ทำให้เกิดความสงสัยว่า 
ลานทองดังกล่าวจะเป็น ของ “วัดส่องคบ” 
หรือ ของ “วัดพระบรมธาตุชัยนาท” กันแน่ ? 
คณะเราจึงได้แต่นั่งรถเข้าไปวนดูในวัดส่องคบ
แต่ไม่ได้ลง เพราะเสนาสนะต่าง ๆ ภายในวัดล้วนสร้างขึ้นใหม่ทั้งสิ้น.




















วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2567

หลวงพ่อหิน วัดกรุณา เขื่อนเจ้าพระยา

 เขื่อนเจ้าพระยา...ตอน

บ้าน และ หลวงพ่อหิน วัดกรุณา

การสร้างเขื่อนและคลองส่งน้ำ (คลองชลประทาน) ในครั้งนั้น 
จำเป็นต้องสำรวจ ย้ายบ้านเรือนราษฎร และศาสนสถาน 
ที่ต้องถูกผลกระทบออกไปจากพื้นที่ 
โดยจ่ายค่าชดเชย หรือ จัดสถานที่อยู่ที่ปลอดภัยจากการถูกน้ำท่วม ให้ 
บ้านเกิดบิดาของ นายปฏิพัฒน์ พุ่มพงษ์แพทย์ 
ตำบลตลาดกรวด อำเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง 
ก็ถูกคลองส่งน้ำตัดผ่าน ต้องเวนคืนพื้นที่ ไป จำนวน ๗ ไร่เศษ 
ส่วน "โบสถ์หลวงพ่อหิน" มีประวัติ ดังนี้
หลวงพ่อหิน เดิมประดิษฐานอยู่ที่ "วัดแฝก" 
ซึ่งเป็นวัดร้างอยู่ท้ายตลาด ต. ท้ายเมือง อ. เมือง จ. ชัยนาท 
ตั้งอยู่เหนือเขื่อนเจ้าพระยาประมาณ ๒ กิโลเมตร 
ในปี พ.ศ.๒๔๗๙ 
พระอธิการเล็กเจ้าวาส "วัดท่าควาย" หรือ "วัดกรุณา" 
ได้สร้าง พระอุโบสถใหม่
และได้ อัญเชิญหลวงพ่อหิน จากวัดแฝกมาเป็นประธาน 
แต่ไม่สามารถอัญเชิญมาได้ถึง ๓ ครั้ง 
เนื่องจากเกิดอาเพศฝนตกหนัก ครั้งหนึ่ง
และ เกิดเหตุอาเพศ สายลากจูงล้อเลื่อนขาด อีกครั้งหนึ่ง 
แต่ผลสุดท้าย ครั้งที่ ๓  เมื่อต่อสายและลากจูงใหม่
ก็สามารถอัญเชิญมาไว้ที่วัด "ท่าควาย" 
ได้สำเร็จ ดังประสงค์
ต่อมากรมชลประทาน ได้สร้างเขื่อนกั้นน้ำ
บริเวณบ้านท้องคุ้ง อันเป็นที่ตั้งของ วัดท่าควาย 
ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของ "หลวงพ่อหิน" 
ทางราชการได้เวนคืน ที่ดิน 
อธิบดีกรมชลประธานในสมัยนั้นได้มีคำสั่งให้ รื้อ ศาลาและวัด ออก 
แต่ยังคงเหลือ "พระอุโบสถของหลวงพ่อหิน" 
อนุรักษ์ไว้เป็นโบราณสถาน 
และฝากอุโบสถไว้ในความอุปถัมภ์ของกรมชลประทาน ต่อไป ดังนั้น 
ต่อมา เมื่อมีการปรับปรุงพื้นที่ โดยรอบบริเวณ (ปัจจุบันเป็นสนามกอล์ฟ)
จึงได้เห็นว่า มี เจดีย์องค์หนึ่ง ที่ถูกต้นไม้หุ้มปกคลุมไว้
จึงทิ้งไว้ ไม่ได้ทุบลำลายลง
และยังคงเหลืออยู่ในสนามกอล์ฟ มาจนทุกวันนี้
จากลักษณะรูปแบบสถาปัตยกรรม 
และ ชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินทรายที่พบในบริเวณดังกล่าว 
ชวนให้สันนิษฐานได้ว่า "วัดท่าควาย" เดิม 
เป็นวัดที่สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ราว พุทธศตวรรษที่ ๒๑- ๒๒ 
พระอธิการเล็ก ได้เข้ามาฎิสังขรณ์ และสร้างวัดใหม่ขึ้น
เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๔๗๕ - พ.ศ.๒๔๗๙
รวมทั้งได้อัญเชิญ พระหินทรายโบราณ 
ที่มีขนาดพอจะเป็นประธานในพระอุโบสถได้ จาก "วัดฝาง"
มาเป็นประธานของโบสถ์ใหม่ด้วย
และด้วยเหตุอาเพศที่เป็นอุปสรรค ต่าง ๆ 
ดังที่กล่าวไว้ในประวัติหลวงพ่อหิน
จึงได้เปลี่ยนชื่อวัดจาก "วัดท่าควาย" มาเป็น "วัดกรุณา"
เอวัง ก็มีด้วยประการฉนี้ แลฯ


บริเวณที่บ้าน ดำแดงนุ่ม พุ่มกันเกรา (ย่า ปฏิพัฒน์ พุ่มพงษ์แพทย์)
ต.ตลาดกรวด อ.เมือง จ.อ่างทอง กับพื้นที่ถูกเวนคืน ทำคลองส่งน้ำ(ชลประทาน) เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕



บริเวณที่บ้าน ดำแดงนุ่ม พุ่มกันเกรา (ย่า ปฏิพัฒน์ พุ่มพงษ์แพทย์)
ต.ตลาดกรวด อ.เมือง จ.อ่างทอง กับคลองส่งน้ำ(ชลประทาน) ปัจจุบัน



พัทธสีมาโบสถ์หลวงพ่อหิน สมัยอยุธยา


โบสถ์หลวงพ่อหิน วัดท่าควาย หรือ วัดกรุณา ในพื้นที่ชลประทาน เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท


เมื่อแรกประดิษฐาน หลวงพ่อหิน ที่ วัดท่าควาย(กรุณา)


หลวงพ่อหิน พระประธานในโบสถ์ วัดกรุณา ปัจจุบัน


หลวงพ่อหิน ปางนาคปรก (ซ่อนครึ่งองค์บน) หน้าพระอุโบสถ วัดกรุณา









































วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2567

เขื่อนเจ้าพระยา ชัยนาท เขื่อนแห่งแรกของประเทศไทย

 เขื่อนเจ้าพระยา ชัยนาท 

เขื่อนแห่งแรกของประเทศไทย

คณะเราเดินทางข้ามเขื่อนเจ้าพระยาไปฝั่งตะวันออก 
ถึงโบสถ์หลวงพ่อหิน เมื่อเวลาประมาณ 09.30 น.
แต่เดิมการเพาะปลูกในเขตพื้นที่ราบภาคกลางสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ชัยนาท จนถึงอ่าวไทยต้องอาศัยน้ำฝนเป็นหลัก 
ปีไหนที่ฝนแล้ง เกษตรกรในอดีตก็จะได้รับความเดือดร้อนอยู่เสมอ 
จนปี พ.ศ. ๒๔๔๕ ใน   รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นายเย โฮมัน วันเดอร์ไฮเด ผู้เชี่ยวชาญการชลประทานชาวฮอลันดา 
เสนอให้สร้างโครงการเจ้าพระยาใหญ่ ที่อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท 
แต่ประเทศสยามในช่วงระยะเวลานั้น 
จำต้องใช้งบประมาณบำรุงประเทศในทางอื่นที่จำเป็นเร่งด่วนมากกว่า  แผนการก่อสร้างโครงการเจ้าพระยาใหญ่จึงต้องระงับไว้ก่อน 
ครั้นต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว 
ได้เกิดภาวะฝนแล้ง ๒-๓  ปีติดต่อกัน 
ในปี พ.ศ.๒๔๕๖ เซอร์ ทอมมัส เวอร์ด ผู้เชี่ยวชาญชาวอังกฤษ 
ได้เสนอให้ก่อสร้างโครงการเจ้าพระยาใหญ่ขึ้นอีกครั้ง  
แต่เวลานั้นอยู่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่๑ 
การก่อสร้างโครงการเจ้าพระยาใหญ่จึงต้องระงับอีกเป็นครั้งที่สอง
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร 
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๑ ขณะที่หลายประเทศประสบภาวะขาดแคลนอาหาร องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) 
จึงได้พิจารณาถึงความจำเป็นของโครงการเจ้าพระยาใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
โดยในเดือนตุลาคมปีนั้น 
กรมชลประทานจึงได้เสนอโครงการต่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 
รัฐบาลพิจารณาเห็นชอบตามที่เสนอ 
ประกอบกับในปี พ.ศ.๒๔๙๒ รัฐบาลได้เข้าเป็นสมาชิกธนาคารโลก 
จึงขอกู้เงินเพื่อสร้างโครงการเจ้าพระยาเพื่อการเพาะปลูกใหญ่ 
ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๓ เป็นเงินจำนวน ๑๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ
กรมชลประทานได้เริ่มเตรียมงานเบื้องต้น ตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๔๙๔ 
และเริ่มงานก่อสร้างเขื่อนเจ้าพระยา  บนแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมกับระบบส่งน้ำ ขึ้น บริเวณคุ้งบางกระเบียน หมู่ที่ ๔ ตำบลบางหลวง อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ 
ช่วงระหว่างการก่อสร้าง 
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช 
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ 
พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 
ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๘ 
และหลังจากการสร้างเขื่อนเสร็จเรียบร้อยแล้ว 
ทั้งสองพระองค์ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดเขื่อนเจ้าพระยา 
เมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๐
เขื่อนเจ้าพระยาแห่งนี้ จึงนับเป็นเขื่อนแห่งแรกของประเทศไทย


























เมืองโบราณสมัยทวารวด บ้านคูเมือง อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี

 เมืองโบราณสมัยทวารวดี

บ้านคูเมือง อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี

ออกเดินทางต่อจากวัดร้างสุทธาวาส สิงห์บุรี
ไปตามถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ขึ้นเหนือ 
ผ่านทางเข้าเมืองโบราณบ้านคูเมือง อ.อินทรบุรี 
เมืองนี้สร้างขึ้นบนโคก(เกาะ)ดินใหญ่
เกือบจะกึ่งกลางระหว่าง ลำแม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำน้อย 
จากลักษณะทางภูมิประเทศ
และแนวเส้นแบ่งเขตจังหวัดสิงห์บุรีกับจังหวัดชัยนาท 
ทำให้เห็นว่า เมืองโบราณบ้านคูเมืองนี้
ตั้งอยู่ใกล้ฝั่งน้ำ
ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสายแม่น้ำน้อย 
เชื่อมต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยา 
ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นร่วมสมัยกับ
ศิลปะแบบทวารวดี ต่อสมัยลพบุรี (ขอมในประเทศไทย)  
ช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๗














วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2567

วัดสุทธาวาส (ร้าง) กับ วัดงู(ร้าง) เป็นวัดราษฎร์ สร้างสมัยอยุธยาตอนปลาย ราวพุทธศตวรรษ ที่ ๒๓ -๒๔

 ส.๑๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๗ 

วันที่ ๒ ของการเดินทาง

เราตั้งเป้าขึ้นไป ที่ปากน้ำ ต้นทางแม่น้ำน้อย

ที่แตกสาขาแยกออกมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา
และ...แล้วแต่ คุณโกศล,คุณเท่ห์ 
จะชี้แนะนำทาง พาไปดู 
เพราะเดินตระเวนสำรวจวัดแถวนี้มานานแล้ว
วัดที่ไปวันแรก จึงยังไม่มีชื่ออยู่ในแผนที่ 
เป็นวัดที่พบอยู่ระหว่าง วัดสุทธาวาส (ร้าง) กับ วัดงู(ร้าง) 
วัดร้างแห่งนี้ ตั้งอยู่หลังโรงเรียนวัดสุทธาวาส  (ตรงข้ามกับตัววัดสุทธาวาส ) ต.ทับยา อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี  
แยกจากถนนลาดยางไปทางตะวันตกประมาณ ๒๘๐ เมตร 
ตัววัดร้างตั้งอยู่บนโคกกลางทุ่งนา มีบ้านชาวบ้าน ตั้งอยู่ ๑ หลัง 
สภาพของวัดตั้งอยู่บนเนิน กลางทุ่งนา
ยังคงเหลือผนังอยู่ ๒ ด้าน ที่ไม่สมบูรณ์ 
มีพระประธานประทับนั่งขัดสมาธิราบปางมารวิชัย 
ก่ออิฐถือปูน องค์หนึ่ง ฝีมือแบบชาวบ้าน 
มีชิ้นส่วนพระพุทธรูปหินทราย
พระชัยวัตน์ (ที่เรียกกันผิด ๆ ว่า “พระงั่ง”) สมัยอยุธยา 
แตกหักทิ้งอยู่หลายองค์  
พระเหล่านี้ คงเป็นของเดิมที่พบอยู่ในบริเวณวัดร้างแห่งนี้ 
ประกอบกับตุ๊กตาดินเผา และเศษกระเบื้องเชิงชาย 
ทำให้สันนิษฐานได้ว่า 
วัดนี้เป็นวัดราษฎร์ ที่อยู่ในกลุ่มชุมชนริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา 
สร้างสมัยอยุธยาตอนปลาย ราวพุทธศตวรรษ ที่ ๒๓ -๒๔


























วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2567

จารึกลานทองวัดส่องคบ ควรพบที่ไหน

 "จารึกลานทองวัดส่องคบ" ควรพบที่ไหน? 

จารึกเลขที่ ๔๔/๒๔๙๙, จารึกอักษรขอม ภาษาไทย บนลานทอง, หลักที่ ๔๘ จารึกลานทองวัดส่องคบ, จารึกลานทองวัดส่องคบ ๑ 
ปัจจุบันแผ่นจารึกวัดส่องคบเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร 
มีข้อความตอนหนึ่งว่า 
“เจ้าเมืองขุนเพชญสาร 
มีพระผจงศรัทธา ประดิษฐานไว้ต่าง ได้เท้า พระมหาเถรศีลคําคําพีรย 
ผู้เป็นครูเจ้าสถานบากลเทพ นี้ 
ใส่ใจไว้แด่ปริญามหาเพียร กระทําให้เกียรติยศเท้า (ถึง) เจ้าเมือง 
ขุนเพชญสาร ผู้ใจชาวมหาศรัทธา 
อีกออกศรีมาดา พนิดา แม่นางสร้อยทอง ผู้เลิศ
บังเกิด ศรัทธา มหาพนิดาพิจิตร 
ต่อติดแม่นางศรีมลจร ใจบรรเจิดเพริศแด่ศรัทธาก่อนมา 
แม่นางพัวผู้มีคุณ 
แม่นางผู้ใจบุญ บุญชาวแม่ทั้งหลาย 
พรรณรายศรัทธาอนุโมทนาด้วย ธ เจ้าเมือง
แต่ ปีชวด นักษัตรสัมฤทธิศก ไพสาข วันอาทิตย์ ตรา เอกาทศเกต  
จึงพระสงฆ์ทั้งหลายแต่ ธ เจ้าเมือง
ประดิษฐานพระศรีรัตนธาตุ แห่งกรุงไชยสถานนาม”  
ข้อความในจารึกลานทอง ดังกล่าวได้กล่าวถึง 
ขุนเพชญสาร เจ้าเมืองไชยสถาน 
(เมือง“ไชยสถาน”นักวิชาการสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นชื่อเมืองชัยนาทเดิม) กับสตรีผู้มีชื่อหลายคนร่วมกันสร้าง
"พระศรีรัตนมหาธาตุ" ขึ้นเมื่อ
ปีชวด นักษัตรสัมฤทธิศก ซึ่งตรงกับ
( ปีชวด จุลศักราช ๗๗๐ พุทธศักราช ๑๙๕๑ 
เป็นปีที่ ๑๔ในรัชกาลสมเด็จพระรามราชาธิราช พระนครศรีอยุธยา)
ตามประวัติ “จารึกลานทอง” 
พบในเจดีย์ของวัดส่องคบ (ร้าง) เมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๙๔ 
ซึ่งปัจจุบันไม่มีเจดีย์ 
ไม่มีพระศรีรัตนมหาธาตุ  ที่ วัดส่องคบ 
มีแต่ “พระบรมธาตุชัยนาท”  ที่ วัดพระบรมธาตุวรวิหาร ชัยนาท
ซึ่งอยู่บนฝั่งตรงข้ามของปากแม่น้ำน้อย 
ที่แยกมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งตะวันตก
จึงชวนให้คิดว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ ?
ว่า  “จารึกลานทองวัดส่องคบ” 
หลักฐานสำคัญชิ้นนี้ แต่เดิม เป็นของ
วัดพระบรมธาตุวรวิหาร ชัยนาท























วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

หลวงพ่อแดง พระประธานสำคัญของวัดราชสิงขร

 "หลวงพ่อแดง" 

พระประธานสำคัญของวัดราชสิงขร

หลวงพ่อแดงเป็นพระพุทธรูปที่อัญเชิญ
ลงแพล่องแม่น้ำเจ้าพระยาลงมาจากทางเหนือ
น่าจะเมื่อครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้าฯ ให้
อัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญลงมากรุงเทพฯ
แต่เมื่อมาถึงคุ้งน้ำบางคอแหลม บริเวณหน้าวัดราชสิงขร
เป็นช่วงเวลาน้ำหลาก เชี่ยวกราก 
จึงเกิดอุบัติเหตุ แพที่บรรทุกพระพุทธรูปมาแตก 
พระพุทธรูปที่อัญเชิญมาบนแพจึงจมลงอยู่ใต้น้ำ
สันนิษฐานว่า 
เมื่อครั้งสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
ทรงรับปฏิสังขรณ์วัดเก่าสมัยอยุธยา แห่งนี้
(ยังไม่พบหลักฐานที่เก่าถึงสมัยอยุธยา)
คงตั้งพระทัยจะนำ พระสำริด "หลวงพ่อแดง" 
มาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ
แต่เมื่อพระพุทธรูปองค์นั้น จมน้ำเสียแล้ว
จึงโปรดให้สร้างพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทองขึ้น
เป็นพระประธานในพระอุโบสถ แทนจนถึงปัจจุบัน
พระพุทธรูปองค์ที่จมน้ำ  น่าจะจมอยู่นาน 
จนวัดราชสิงขร สร้างเสร็จ
จึงได้อัญเชิญ ขึ้นมาประดิษฐานอยู่บนฝั่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา
และหลังจากทำความสะอาด "ตราบไคล ตะไคร่น้ำ" แล้ว
องค์พระพุทธรูปเกิด "สนิมแดง" ขึ้นทั้งองค์
จึงเรียกว่า "หลวงพ่อแดง"
ผู้มีจิตรศรัทธาได้สร้าง พระวิหาร นำ "หลวงพ่อแดง" 
ขึ้นประดิษฐานเป็นพระประธานในพระวิหาร
(ไม่ปรากฎว่าสร้างขึ้นในสมัยใด)
จนต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๖๔ 
ตรงกับปีที่ ๑๒ในรัชกาลที่ ๖ 
ได้มีการบูรณะพระวิหารหลวงพ่อแดง  (เครื่องไม้) 
สร้างขึ้นเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ขึ้นแทนหลังเดิม
แต่ไม่ปรากฏชื่อผู้บูรณะ


พระอุโบสถวัดราชสิงขร สร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ เสร็จในรัชกาลที่ ๓
พระวิหาร "หลวงพ่อแดง" สร้างในสมัยรัชกาล ๓ - รัชกาลที่ ๕ ?


พระประธานปูนปั้น ลงรักปิดทอง พระประธานในพระอุโบสถวัดราชสิงขร สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑





"หลวงพ่อแดง" พระประธานสำริดที่อัญเชิญมาจากหัวเมืองทางเหนือ ครั้งสมัยรัชกาลที่ ๑